หวั่นอียูจับผิดสินค้าเกษตรไทย 7 กลุ่มทำลายสิ่งแวดล้อม
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ แจ้งเตือนผู้นำเข้าสินค้าเกษตร 7 กลุ่ม
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ แจ้งเตือนผู้นำเข้าสินค้าเกษตร 7 กลุ่ม ได้แก่ โค โกโก้ กาแฟ น้ำมันปาล์ม ยางพารา ถั่วเหลือง และไม้ รวมถึงผลิตภัณฑ์ เตรียมพร้อมรับมืออียูออกกฎระเบียบต้องแจ้งข้อมูลการผลิตสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า ก่อนมีผลใช้บังคับ 30 ธ.ค. ปีหน้า
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2566 สหภาพยุโรป (อียู) ได้ออกกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation-free products Regulation : EUDR) หรือ Regulation (EU) 2023/1115 ที่กำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าเกษตร 7 กลุ่ม ได้แก่ โค โกโก้ กาแฟ น้ำมันปาล์ม ยางพารา ถั่วเหลือง และไม้ รวมถึงผลิตภัณฑ์ จะต้องลงทะเบียนในระบบฐานข้อมูลและแจ้งข้อมูลที่เกี่ยวกับการผลิต เช่น แหล่งที่มา ผู้ผลิต และพิกัดทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่เพาะปลูก/เก็บเกี่ยว เป็นต้น เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับ และวิเคราะห์ข้อมูลผ่านระบบภาพถ่ายจากดาวเทียม ว่าสินค้านั้นผลิตบนพื้นที่ตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation) หรือทำให้ป่าเสื่อมโทรม (Degradation) หรือไม่ เพื่อลดการทำลายพื้นที่ป่าของโลก และลดการนำเข้าสินค้าที่มีความเสี่ยงในการทำลายป่าเข้ามาในอียู ซึ่งจะมีผลใช้บังคับในวันที่ 30 ธ.ค. 2567
นางอรมน กล่าวว่า เกษตรและผู้ส่งออกที่เกี่ยวข้องจะมีเวลาเตรียมการ (transitional period) ประมาณ 18 เดือน ก่อนที่มาตรการนี้จะมีผลใช้บังคับ ขณะเดียวกัน คาดว่าอียูจะออกกฎระเบียบลำดับรอง เพื่อให้การบังคับใช้มาตรการนี้มีความชัดเจนขึ้น เช่น กำหนดหน่วยงานรับผิดชอบ บทลงโทษ การจัดทำระบบฐานข้อมูล และการจัดกลุ่มประเทศตามระดับความเสี่ยงในการตัดไม้ทำลายป่า เพื่อกำหนดระดับความเข้มงวดในการสุ่มตรวจสอบข้อมูลที่ผู้ประกอบการแจ้ง ซึ่งผู้ประกอบการที่อยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูงจะถูกสุ่มตรวจ 9% ความเสี่ยงระดับกลาง 3% และความเสี่ยงระดับต่ำ 1% นอกจากนี้ ผู้ประกอบการขนาดย่อมและขนาดเล็ก (MSME) ที่จัดตั้งขึ้นภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2563 จะได้เวลาเปลี่ยนผ่าน 24 เดือน (ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2568) ก่อนที่มาตรการจะมีผลใช้บังคับ
นางอรมน กล่าวว่า จากการหารือหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ทราบว่าการยางแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างจัดทำฐานข้อมูลการเพาะปลูกยางพารา และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างการจัดทำคู่มือสำหรับสมาชิกสภาอุตสาหกรรมฯ เพื่อใช้ประกอบการดำเนินการตามระเบียบดังกล่าว นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา หน่วยงานภาครัฐของไทย อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ยังได้ประสานกับอียูเตรียมเชิญผู้เชี่ยวชาญมาจัดสัมมนาฝึกอบรมให้คำแนะนำและอธิบายมาตรการนี้ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องของไทยได้เข้าใจและรับทราบข้อมูลอย่างละเอียด ซึ่งจะเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนมาตรการบังคับใช้จริง
สำหรับในปี 2565 ไทยส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ไปอียู มูลค่า 1,732.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 11% ของการส่งออกไทยไปโลก และส่งออกกาแฟ มูลค่า 300,000 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 9% ของการส่งออกไทยไปโลก สำหรับการส่งออกสินค้ากลุ่มอื่นๆ ไปอียู ได้แก่ วัวและผลิตภัณฑ์ ถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมันและผลิตภัณฑ์ โกโก้และผลิตภัณฑ์ และไม้และผลิตภัณฑ์ มีสัดส่วนต่ำกว่า 5% ของการส่งออกไปโลก ดังนั้น ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกของไทยที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ รวมถึงกาแฟ จำเป็นต้องเตรียมจัดทำข้อมูลสำหรับยื่นแสดงต่ออียูภายใต้ระเบียบดังกล่าว