ผู้ว่าโตเกียวผลักดันกฏหมายห้ามสูบบุหรี่
ผู้ว่าการกรุงโตเกียวยูริโกะ โคอิเคะ เดินหน้าผลักดันกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ เพื่อทำให้กรุงโตเกียวปลอดบุหรี่ให้ได้ก่อนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี 2563
นับเป็นการท้าทายอำนาจของนักการเมืองระดับชาติซึ่งล้มเหลวในการผ่านร่างกฎหมายฉบับเดียวกันในฤดูใบไม้ผลินี้
กรุงโตเกียวมีความเสี่ยงที่จะเป็นเมืองที่มีสุขภาพย่ำแย่ที่สุดในการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในอีก 3 ปีข้างหน้าและความพยายามที่จะให้มีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในระดับชาติต้องจบลงเมื่อต้องเผชิญ
หน้ากับกลุ่มคัดค้านซึ่งเป็นนักการเมืองที่สนับสนุนการสูบบุหรี่ โดยส่วนมากอยู่ในพรรคเดียวกับนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ รวมถึงเจ้าของกิจการร้านอาหารและกิจการยาสูบของญี่ปุ่น ซึ่งรัฐบาลถือหุ้น 1 ใน 3 และจ่ายเงินปันผลให้รัฐถึง 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2558
ผู้ว่าการโคอิเกะ ซึ่งกวาดชัยชนะอย่างถล่มทลายเหนือพรรคของนายกฯ อาเบะในการเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมากล่าวกับหนังสือพิมพ์นิกเคอิว่า ควรมีการยื่นเสนอกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในอาคารต่อสภา เนื่องจากพรรคและพันธมิตรของเธอครองเสียงส่วนใหญ่และจะมีการออกเสียงลงมติในฤดูใบไม้ร่วงนี้
“ ประเทศขยับตัวช้า แต่เราจะทำหน้าที่ของเราในฐานะเจ้าภาพ ” หนังสือพิมพ์ยกคำพูดของเธอมารายงาน
โดยกฎหมายของกรุงโตเกียวที่ถูกเสนอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายในช่วงหาเสียงของพรรค Tokyo Citizens First party ของผู้ว่าโคอิเคะคือ การห้ามสูบบุหรี่ในสถานที่สาธารณะโดยมีบทลงโทษเป็นการปรับ และยังรวมถึงการพยายามผลักดันให้มีการห้ามสูบบุหรี่ในบ้านและรถยนต์ที่มีเด็กอยู่ด้วย
กฎหมายปัจจุบันที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2546 กำหนดให้ร้านอาหารและสถานที่สาธารณะอื่นๆ ต้องมีพื้นที่แยกให้ลูกค้าอย่างชัดเจนระหว่างผู้สูบบุหรี่และผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ แต่ยังไม่มีโทษปรับแต่อย่างใด
ทั้งนี้ กรุงโตเกียวเผชิญกับแรงกดดันให้เป็นเมืองปลอดบุหรี่ภายในปี 2563 จากหลายหน่วยงาน เช่น คณะกรรมการโอลิมปิกสากล และองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งจัดให้ญี่ปุ่นอยู่รั้งท้ายในการจัดอันดับเมืองที่ตอต้านการสูบบุหรี่
โดยทางคณะกรรมการและ WHO จะประสานความร่วมมือกันที่จะทำให้โอลิมปิกกรุงโตเกียวเป็นเมืองเจ้าภาพที่ปลอดบุหรี่ ที่ผ่านมา เมืองเจ้าภาพโอลิมปิกอย่าง ริโอ เดอ จาเนโรและเมืองอื่นๆ ก็ถูกสั่งห้ามสูบบุหรี่ในสถานที่สาธารณะ
เมื่อ 5 ปีก่อน ประมาณครึ่งหนึ่งของชาวญี่ปุ่นสูบบุหรี่ เมื่อเทียบกับตัวเลข 18% ในปัจจุบัน แต่กฎหมายห้ามสูบบุหรี่ที่บังคับใช้ในหลายเมืองและมีการบังคับใช้ที่หละหลวม นอกจากนี้ ยังมีตู้ขายบุหรี่อัตโนมัติวางอยู่ในกระทรวงสาธารณสุขด้วย.