สภาสหรัฐฯ ถอดถอน ‘ทรัมป์’ รอบ 2
วอชิงตัน – เมื่อวันที่ 13 ม.ค. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯที่ถูกดำเนินการถอดถอนถึง 2 ครั้ง โดยมีส.ส.จากพรรครีพับลิกันถึง 10 คนที่ร่วมในการถอดถอนกับส.ส.เดโมแครตจากข้อกล่าวหาที่เขายุยงปลุกปั่นให้มีการก่อจลาจลต่อต้านรัฐจากเหตุรุนแรงที่อาคารรัฐสภาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
โดยคะแนนโหวตลงมติในสภาที่เดโมแครตครองเสียงข้างมากอยู่ที่ 232 ต่อ 197 หลังเกิดเหตุรุนแรงที่สั่นคลอนประชาธิปไตยสหรัฐฯ จนมีผู้เสียชีวิต แม้จะไม่มีแนวโน้มว่ากระบวนการถอดถอนจะทำให้ทรัมป์ถูกปลดออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ และก่อนวันทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งผู้นำคนใหม่ของโจ ไบเดนในวันที่ 20 ม.ค.นี้
มิตช์ แมคคอนเนล ส.ว.ผู้นำเสียงข้างมากจากพรรครีพับลิกันในวุฒิสภา ปฏิเสธข้อเรียกร้องให้มีการไต่สวนเพื่อถอดถอนอย่างรวดเร็ว โดยระบุว่า ไม่มีทางที่จะสรุปผลได้ก่อนที่ทรัมป์จะครบวาระ แต่หลังจากทรัมป์ออกจากทำเนียบขาวไปแล้ว การตัดสินของวุฒิสภาจะส่งผลให้ทรัมป์ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้อีก
ไบเดนระบุว่า เป็นเรื่องสำคัญที่การไต่สวนเพื่อถอดถอนของวุฒิสภาในช่วงแรกของวาระการทำงานของเขาจะไม่ส่งผลทำให้การทำงานด้านการออกกฎหมายล่าช้า และขอให้บรรดาผู้นำของวุฒิสภาหาวิธีที่จะทำให้ได้ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน
สภาผู้แทนราษฎรทำญัตติการถอดถอน ซึ่งเป็นข้อหาอย่างเป็นทางการ โดยกล่าหาว่าทรัมป์ “ยุยงปลุกปั่นให้เกิดการก่อจลาจลต่อต้านรัฐ” โดยมุ่งเน้นที่ถ้อยแถลงของทรัมป์ในสัปดาห์ก่อนหน้ากับกลุ่มผู้สนับสนุนเขาไม่นานก่อนที่ม็อบสนับสนุนทรัมป์จะบุกโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ
โดยม็อบเข้าขัดขวางการประกาศรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของไบเดนอย่างเป็นทางการ ทำให้บรรดาส.ส.ต้องพากันหลบซ่อนตัว และทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 5 คน ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่ง
จากถ้อยแถลงของเขา ทรัมป์กล่าวย้ำว่าการเลือกตั้งไม่ยุติธรรมและปลุกเร้าให้ผู้สนับสนุนเขาบุกอาคารรัฐสภา โดยบอกให้พวกเขา “หยุดการปล้นชัยชนะ” “แสดงพลัง” “สู้ให้หนัก” และใช้ “กฎที่แตกต่าง”
ในวีดีโอแถลงการณ์หลังสภาดำเนินการเมื่อวันที่ 13 ม.ค. ทรัมป์ไม่ได้พูดถึงการโหวตถอดถอน และไม่แสดงความรับผิดชอบต่อถ้อยแถลงของเขาที่มีกับผู้สนับสนุนในสัปดาห์ก่อน และประณามความรุนแรง
“ ความรุนแรงของม็อบทำลายทุกอย่างที่ผมเชื่อ และทุกอย่างที่เราเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งที่เรายืนหยัด กลุ่มสนับสนุนที่แท้จริงของผมไม่เคยก่อเหตุรุนแรงทางการเมือง คนที่สนับสนุนผมล้วนเคารพกฎหมายและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง”
“ประธานาธิบดีสหรัฐฯยุยงปลุกปั่นให้เกิดเหตุจลาจลนี้ กลุ่มกบฎติดอาวุธนี้ต่อต้านประเทศของเรา” แนนซี เพโลซี ประธานสภาจากพรรคเดโมแครตกล่าวในสภาก่อนหารโหวต “ เขาต้องออกไป เขาเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงกับชาติที่เรารัก”
เหตุจลาจลที่สภาทำให้เกิดความกังวลว่าอาจเกิดความรุนแรงทางการเมืองในสหรัฐฯอีก โดยเอฟบีไอเตือนว่ากลุ่มผู้ประท้วงติดอาวุธมีแผนจะก่อความรุนแรงทั้งในกรุงวอชิงตันและทั้ง 50 รัฐก่อนหน้าวันทำพิธีสาบานตน
สภาคองเกรสดำเนินการถอดถอนทรัมป์หลังจากเขาไม่ยอมลาออกตามเสียงเรียกร้อง และรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ปฏิเสธที่จะใช้อำนาจตามบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ 25 เพื่อปลดเขาออกจากตำแหน่ง
โดยก่อนหน้านี้ สภาโหวตถอดถอนทรัมป์ในเดือนธ.ค.2562 จากข้อกล่าวหาว่าใช้อำนาจในทางที่มิชอบ และขัดขวางสภาที่ไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องของเขาให้มีการสอบสวนไบเดนและบุตรชายกรณีการทุจริตในยูเครนก่อนการเลือกตั้ง โดยเดโมแครตกล่าวหาว่าเขาร่วมกับต่างชาติเพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมือง โดยหลังจากนั้น วุฒิสภาโหวตในเดือนก.พ. 2563 ให้ทรัมป์อยู่ในตำแหน่งต่อไป