“EVE” แป้งพัฟป้องกันแสงสีฟ้าเจ้าแรกในไทย
แฮชแท็กผู้ชายขายอายไลเนอร์ และแป้งพัฟป้องกันแสงสีฟ้าเจ้าแรกในไทยได้กลายเป็นกระแสยอดฮิตบนโลกออนไลน์ ข้อความจากผู้ชายหนึ่งคนที่สามารถธุรกิจได้จากสิ่งที่ตนเองไม่ถนัด และไม่ได้ใช้งาน จนกลายเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคที่ใช้งานจริง
“อังกูร บุณยะโอภาส” คือผู้ชายที่มองเห็นโอกาสจากการเติบโตของตลาดทางด้านออนไลน์ และพยายามหาแนวทางในการสร้างธุรกิจที่เป็นของตนเอง จนสามารถ “Start up” ได้ในที่สุดภายใต้ชื่อแบรนด์ “EVE”
-เริ่มต้นธุรกิจ
อังกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี-พลัส เทรดดิ้ง จำกัด บอกถึงจุดเริ่มต้นของไอเดียในการทำธุรกิจ ว่าต้องย้อนกลับไป 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในขณะนั้นมีผู้ประกอบการหลายรายเริ่มเข้ามาทำตลาดออนไลน์ โดยตนได้เข้ามาในตลาดเครื่องสำอาง เพราะมองเห็นว่าโอกาสทางการตลาดในประเทศไทยยังไปได้อีกไกล จากคำพูดที่ว่าผู้หญิงอย่าหยุดสวย ธุรกิจนี้ก็น่าสามารถเติบโตได้ ซึ่งในช่วงแรกจำหน่ายมาหลายอย่างมากไม่ว่าจะเป็น ลิปสติก ,ครีม ,สกินแคร์ ,ดินสอเขียนคิ้ว ฯลฯ โดยเป็นบนผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ
จนวันหนึ่งมีโอกาสได้เห็นว่าอายไลเนอร์เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งในประเทศไทยยังมีไม่มากแต่ด้วยความที่เป็นผู้ชาย ทำให้ต้องพยายามศึกษาหาข้อมูลอย่างหนัก ตั้งแต่อายไลเนอร์มีกี่ประเภท ประเภทไหนเป็นที่นิยม มีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร
โดยใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือนเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าจะนำอายไลเนอร์จากที่ไหน ผลิต ณ แหล่งใด รวมถึงจะสร้างความต่างในตลาด เพื่อชนะใจผู้บริโภคได้อย่างไร
“ตนทำการศึกษาด้วยตนเอง เดินทางไปประเทศเกาหลี เพื่อไปโรงงานต่างๆ หาข้อมูล ไปงานเอ็กซ์โปร งานแฟร์ต่างๆ ที่มีโรงงานมารับจ้างผลิต (OEM) ไปดูว่าแบรนด์ไหนทำโรงงานไหน มีข้อดี-ข้อเสียเป็นอย่างไรหลังจากนั้นจึงนำสิ่งที่ตนต้องการมาผสมผสานกัน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อน้ำปลายพู่กัน และท้ายสุดก็พัฒนาสูตรขึ้นมาให้โรงงานผลิตให้เป็นของเราโดยเฉพาะ”
อย่างไรก็ดี ธุรกิจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เพราะในช่วง 6 เดือนแรกยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักแบรนด์ EVE เท่าใดนักตนจึงเริ่มใช้คอนเน็กชั่นโดยการส่งผลิตภัณฑ์ให้กับรุ่นน้องที่เป็นเชียร์หลีดเดอร์ช่วยรีวิว และส่งไปตามบล็อกเกอร์ต่างๆ ซึ่งตนใช้วิธีการเขียนจดหมายไปหา เพื่อขอรบกวนให้ทอลองใช้ผลิตภัณฑ์และช่วยวิจารณ์กลับมา ด้วยความที่ผลิตภัณฑ์ทำออกมาได้ดี ปรากฎว่าบล็อกเกอร์หลายท่านชอบและรีวิวให้ว่า เป็นผลิตภัณฑ์นำเข้าจากเกาหลีที่มีปลายพู่กันนิ่ม และเล็กที่สุดขนาด 0.01 มิลิลเมตร แห้งเร็วและไม่เลอะ จนเกิดกระแสและทำให้จำหน่ายหมด 1 หมื่นแท่งภายใน 1 ปีเดียว
–ต่อยอดธุกิจ
อังกูร บอกต่อไปว่า หลังจากทำตลาดมา 2 ปี ตลาดเริ่มโต และคนเริ่มรู้จักอายไลเนอร์แบรนด์ EVE มากขึ้น จึงเริ่มมีเสียงแห่งความต้องการผลิตภัณฑ์ใหม่ตนจึงกลับมาระดมสมองอีกครั้ง เพื่อหาไอเดียในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และตัวแทนจำหน่าย โดยแป้งพัฟเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ตนวางแผนเอาไว้ว่าจะทำออกมาในอีก 3-5 ปีข้างหน้า แต่ด้วยความที่บริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดด แผนดังกล่าวจึงถูกขยับเวลาเข้ามา โดยมองว่าแป้งพัฟเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทุกคนมี รวมถึงมีการใช้งานทุกวัน และมีการซื้อซ้ำ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเลือกได้แล้วก็ต้องมาคิดต่ออีกว่าจะสร้างความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่ายอยู่ในตลาดได้อย่างไร เพราะเรามาที่หลังแต่เรามีผลบุญเก่าของอายไลเนอร์ที่เป็นที่รู้จัก จึงพยายามมองหาจุดแข็งที่แบรนด์มีเราต้องทำอย่างไร โดยพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์จะต้องเด่นชัด เพื่อให้คนนึกถึง และพูดถึงได้เร็วที่สุด เพราะโลกปัจจุบันไปได้ค่อนข้างเร็ว เราไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ แต่เราต้องก้าวให้เร็วที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ จึงนึกขึ้นได้ทุกวันนี้เป็นยุคของโลกออนไลน์ ทุกคนเล่นมือถือเล่นคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะมีแสงสีฟ้าออกมาจากจอ โดยสารดังกล่าวนี้ทำให้เกิดฝ้า กะ จุดด่างดำเราจะทำอย่างไรให้แป้งพัฟสามารถป้องกันสารดังกล่าวนี้ได้
ทั้งนี้ ตนจึงนำแนวคิดไปหารือกับโรงงานผู้ผลิตว่าจะทำอย่างไร ให้ใส่สารสกัดที่มีงานวิจัยรองรับว่าสามารถป้องกันแสงสีฟ้าได้จริงมาเป็นส่วนผสมของแป้งพัฟ จนกลายมาเป็นแป้งพัฟที่มีสูตรผสมการป้องกันแสงสีฟ้าเจ้าแรกของไทยในที่สุด โดยมีผลตอบรับที่ดีทำยอดจำหน่ายได้ 1 หมื่นตลับใน 1 เดือน
-สยายปีกออกต่างประเทศ
อังกูร บอกต่อไปว่า กลยุทธ์การทำตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้าของแบรนด์ในระยะต่อไป จะเป็นการมุ่งเน้นไปที่ตลาดการส่งออก โดยแบรนด์ผ่านการคัดเลือกเป็น 1 ใน 18 ธุรกิจที่ได้เข้าร่วมโครงการ สร้าง SME ไทยสู่เวทีการค้าสากล (ต้นกล้า ทูโกล) ประจำปี 2562 ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) ซึ่งการเข้าร่วมโครงการดังกล่าวจะทำให้แบรนด์มีโอกาสได้ออกงานแสดงสินค้าของกรมฯ ซึ่งจะจัดขึ้นประมาณช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อให้ผู้ประอบการได้พบกับซัพพายเออร์จากต่างประเทศ โดยจะเสมือนเป็นการกำหนดทิศทางให้กับแบรนด์ในตลาดการส่งออกด้วยว่าจะดำเนินการไปยังภูมิภาคใด หรือประเทศใดจากผลตอบรับที่ได้ในการพบกับซัพพายเออร์โดยตรง
ส่วนการทำตลาดในประเทศนั้น แบรนด์จะยังคงมุ่งเน้นการทำตลาดทางด้านออนไลน์ควบคู่ไปกับตลาดออฟไลน์ โดยจะดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดผ่านทางเว็บไซด์ และเพจเฟสบุ๊ก นอจากนี้ก็จะมีการจำหน่ายผ่านห้างโมเดิร์ทเทรด เช่น ท็อปมาร์เก็ตทั้ง 38 สาขา,ร้านบิวเทรี่ยม (BEAUTRIUM) ที่หน้าร้านทั้ง 10 สาขา รวมถึงบนช่องทางออนไลน์ของร้าน และที่บิวตี้คูลดอทคอม (Beauticool.com) นอกจากนี้ก็ยังอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา (R&D) ใหม่ เพื่อนำเสนอออกสู่ตลาดในการเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค และขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างขวางมากขึ้น
“ปัจจุบันมีคู่แข่งที่เข้ามาร่วมชิงส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่มาก เพราะฉะนั้นแบรนด์จึงต้องมีกลยุทธ์ในการสร้างสาวกให้กับแบรนด์ โดยการทำตลาดผ่านทางเฟสบุ๊ก การทำกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) เช่นโครงการรับบริจาคเครื่องสำอางแต่งหน้าศพ#สวยหล่อบอกบุญต่อ เป็นต้น เพื่อให้ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์เกิดความภาคภูมิใจและมีความจงรักภักดีต่อแบรนด์”.