GM”C สูทแบรนด์ไทยครองใจลูกค้าไทย-ต่างชาติ
การเป็นเจ้าของธุรกิจบางครั้งก็อาจได้มาจากเหตุผลความจำเป็นบางประการ ซึ่งอาจจะไม่ตรงสายกับองค์ความรู้ที่ได้ศึกษามาจากสถานศึกษา แต่สิ่งที่สำคัญก็คือการรู้จักศึกษา และไขว่คว้าหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อมาเติมเต็มสิ่งที่ยังไม่รู้
“โชติ เมธามณีโชติ” ชายหนุ่มผู้จบการศึกษาภาควิชาวิศวกร แต่ชีวิตกลับพลิกผันให้ต้องเปลี่ยนบทบาทไปสู่อีกหนึ่งบทบาทอย่างไม่ทันตั้งตัว โดยที่ตนเองไม่ได้มีความเชี่ยวชาญมาก่อน แต่ความมุ่งมั่น รวมถึงความตั้งใจ และพลังใจจากครอบครัวได้ช่วยผลักดันให้ชายหนุ่มคนนี้ได้ Startup ธุรกิจของตนเองขึ้นมาได้ ภายใต้บทบาทการเป็นเจ้าของธุรกิจตัดชุดสูทร้าน “จีเอ็มซี สไตล์ (GM”C STYLE)
-จากวิศวกรสู่เจ้าของธุรกิจ
โชติ บอกถึงที่มาที่ไปของจุดเริ่มต้นบทบาทในการเป็นเจ้าของธุรกิจว่า เรื่องดังกล่าวนี้เกิดขึ้นมาเมื่อ 17 ปีที่แล้ว โดยที่ตนยังทำงานเป็นวิศวกรอยู่ แต่ร้านจีเอ็มซีซึ่งบริหารงานและดูแลภายใต้เครือญาติ กำลังอยู่ในช่วงรอยต่อของการดำเนินธุรกิจที่อาจจะต้องปิดกิจการ แต่ด้วยความที่คุณพ่อต้องการให้ตนมีธุรกิจเป็นของตนเอง ได้เล็งว่าเป็นโอกาสของการทำธุรกิจอย่างหนึ่งที่ควรจะต้องไขว่คว้า แม้ว่าจะไม่ใช่แขนงเดียวกับวุฒิการศึกษาที่ตนร่ำเรียนมาก็ตามที
สำหรับร้านจีเอ็มซีนั้น เป็นร้านที่ทำธุรกิจรับตัดชุดสูทสำหรับสุภาพบุรุษ ดังนั้น การศึกษาหาความรู้ในช่วงแรกตนจึงเลือกที่จะลาออกจากงานวิศวกรเข้าไปสมัครทำงาน เพื่อให้ได้ทำงานที่ร้านตัดชุดสูทแห่งหนึ่ง โดยเชื่อว่าวิธีการศึกษาที่ดีที่สุดก็คือการนำพาตนเองเข้าไปคลุกคลีอยู่กับแวดวงของการทำธุรกิจดังกล่าว ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการฝึกงานไปในตัว อีกทั้งการหาข้อมูลทางอินเตอร์เนต หรือการซื้อตำรามาศึกษาด้วยตนเองก็ยังไม่ตอบโจทย์ตามที่ต้องการ โดยมีเวลาเตรียมตัวประมาณ 2 เดือนเท่านั้นเพื่อที่จะมาเปิดร้าน `
ทั้งนี้ ด้วยความที่ตนมีโอกาสได้ไปศึกษาหาความรู้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามาก่อน ทำให้มีพื้นฐานทางด้านภาษาต่างประเทศ ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดี และทำให้ตนรู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้นในการเข้ามาทำธุรกิจส่วนตัว เนื่องจากในช่วงเวลานั้นลูกค้าหลักของร้านคือชาวต่างชาติ ไม่มีคนไทยเลย เพราะร้านไม่ได้เป็นแบรนด์ชื่อดัง เป็นเพียงแค่ร้านเล็กๆแห่งหนึ่ง
“ การทำงานทั้ง 2 แบบนี้มีความแตกต่างกันอย่างมาก เพราะตอนที่ทำวิศวกรตนจะได้รับคำสั่งมาและทำไปตามหน้าที่ แต่การเป็นเจ้าของธุรกิจเป็นงานที่ต้องใช้ความคิด ต้องบริหาร และทำเองทุกอย่าง ซึ่งยากกว่ามาก โดยในการทำช่วงแรกตนยังอ่อนประสบการณ์ เวลาที่มีของมาขายก็ดูไม่ค่อยเป็น ทำให้เกิดปัญหาเรื่องของสินค้าที่ไม่ดีอย่างที่หวัง และการเก็บสต็อกที่มีมากจนเกินไป ด้านการทำตลาดก็ไม่มีความชำนาญ อาศัยเพียงแค่ลูกค้าเดินเข้ามาหาเท่านั้น เพื่อให้มีรายได้ไปจ่ายค่าเช่าร้านก็พอใจ เนื่องจากสมัยก่อนยังไม่มีช่องทางในการทำตลาดออนไลน์ที่มากนัก ”
-จุดเปลี่ยนธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อดำเนินธุรกิจมาได้สักระยะหนึ่งก็มาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญของธุรกิจ จากการที่ร้าน จีเอ็มซี ได้มีโอกาสรับงานตัดชุดสูทผู้ชายให้กับทีมงานของมิสยูนิเวิรส์ปี 2004 ซึ่งเป็นชาวออสเตรเลีย ส่งผลทำให้ร้านธรรมดาแห่งหนึ่งกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ ซึ่งจากจุดดังกล่าวนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับตนในการก้าวไปข้างหน้า
หลังจากนั้นจึงเริ่มขยับขยายสาขามาเปิดเพิ่มเติมที่ห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง ซึ่ง ณ เวลานั้นถือว่าเป็นห้างฯที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องมา ทั้งชาวต่างชาติและชาวไทย จากเดิมที่ร้านจะอยู่ที่ห้างอัมรินทร์พลาซ่า และได้มีการขยายสาขามาอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันมีทั้งหมด 4 สาขา โดยเพิ่มเติมที่สยามสแควร์ซอย 6 และที่โครงการศูนย์การค้าดิอัพ พระราม 3 (The UP Rama3)
กลยุทธ์การทำตลาดของร้าน จีเอ็มซี จะเป็นการใช้สื่อประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทางควบคู่กันไป ไม่ว่าจะเป็นสื่อออนไลน์ที่ดำเนินการผ่านทางเฟสบุ๊ก (Facebook) ,ไลน์แอด (Line@) ,อินสตราแกรม (IG) และเว็บไซด์ซึ่งจะมีเนื้อหา (Content) ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ โดยทางร้านจะทำเสมือนเป็นกูรูทางด้านสูท เพื่อให้ความรู้ทางด้านต่างๆที่เกี่ยวกับสูท แต่ผสมผสานไปด้วยแบรนด์ของทางร้าน
อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่ลูกค้าก็จะช่วยรีวิวให้ เนื่องจากพฤติกรรมของลูกค้ายุคใหม่จะอ่านรีวิวมาก่อน เพื่อประกอบการตัดสินใจ ขณะที่ทางด้านออฟไลน์ ร้านจะมีข้อได้เปรียบเรื่องทำเล ซึ่งทั้ง 4 สาขาจะเปิดให้บริการอยู่ใจกลางเมืองที่เป็นศูนย์รวมแห่งการช็อปปิ้ง รวมถึงการลงสื่อนิตยสารต่างๆ และการแนะนำบอกต่อกันไปแบบปากต่อปาก
“ การทำสื่อผ่านทางเฟสบุ๊กทำให้ร้านจีเอ็มซีมีลูกค้าที่เป็นคนไทยเพิ่มมากขึ้นกว่าชาวต่างชาติ โดยร้านจะทำเป็นรูปแบบของเซ็ทแฟชั่น ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า นอกจากนี้ยังมีการถ่ายลงนิตยสารกับกลุ่มพระเอกที่มีชื่อเสียงของประเทศ ก็ยิ่งทำให้ร้านเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยมีทั้งลูกค้าที่เป็นบุคคลและองค์กรรัฐและเอกชนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีกลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าวที่กลายมาเป็นลูกค้าหลักอีกด้วย จนทำให้ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าคนไทยเพิ่มเป็น 60% จากเดิมที่มีอยู่เพียง 10% ”
-เล็งขยายสาขาพร้อมเพิ่มลูกเล่นออนไลน์
ส่วนกลยุทธ์การทำตลาดในระยะต่อไปนั้น โชติ บอกว่า ร้าน จีเอ็มซี มีแผนที่จะขยายสาขาการให้บริการเพิ่มเติมอีกที่ 1สาขาที่โครงการเดอะ มาร์เก็ต แบงคอก บนถนนราชดำริ โดยร้านถูกเชิญชวนให้เข้าไปเปิดสาขาภายในโครงการ ซึ่งตนมองว่าโครงการดังกล่าวจะเป็นแหล่งศูนย์รวมการช็อปปิ้งในอนาคต เพราะการบริหารงานทางด้านการตลาดของเจ้าของโครงการที่ดี และทำเลที่มีความได้เปรียบ
นอกจากนี้ ร้านยังมองไปถึงการขยายสาขาไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดด้วย เนื่องจากในปัจจุบันมีลูกค้าที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อตัดสูทกับทางร้านสอบถามเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยล่าสุดอยู่ระหว่างการพิจารณา เพราะตนเป็นห่วงเรื่องการควบคุมการผลิต เกรงว่าจะผลิตงานออกมาได้ไม่ดีเพียงพอ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อชื่อเสียงของร้าน
ตนยังได้เตรียมรุกช่องทางทางด้านออนไลน์มากขึ้น โดยการทำคลิปไวรัลเพื่อเผยแพร่ประมาณ 1 คลิปต่อเดือน ซึ่งเนื้อหาจะค่อนข้างหลากหลาย โดยตอนแรกที่กำลังจะนำเสนอในปีหน้าเป็นคลิปที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตที่ผสมผสานไปกับการสวมชุดสูทที่สามารถไปได้ทุกที่ทุกเวลา เพียงแค่เลือกปรับชุดให้เข้ากับช่วงเวลา และบรรยากาศ โดยมองว่าปัจจุบันการใส่สูทถือเป็นเรื่องปกติสำหรับทุกคน นอกจากนี้ในอนาคตร้าน จีเอ็มซี อาจจะมีรูปแบบในการทำธุรกิจร่วมกับแบรนด์อื่น หลังจากที่ทางร้านได้รับการทาบทามจากแบรนด์อื่นบ่อยครั้งในการเข้าไปเติมเต็มธุรกิจให้ครบวงจรมากขึ้น
-ตัดเร็วพร้อมคุณภาพ
โชติ บอกอีกว่า จุดเด่นที่สำคัญของร้าน จีเอ็มซี คือ การทำงานที่รวดเร็วซึ่งมาพร้อมกับคุณภาพ โดยทางร้านสามารถตัดสูทให้ลูกค้าได้เร็วที่สุดภายใน 2 วัน จากปกติที่จะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ เนื่องจากที่ร้านจะมีสต็อกของวัตถุดิบที่เป็นผ้าหลากหลายประเภทจากทั้งในและต่างประเทศให้ลูกค้าได้เลือก และทีมงานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูทอย่างแท้จริง อีกทั้งการให้บริการที่ค่อนข้างยืดหยุ่นและเป็นมิตร เป็นทั้งผู้ให้คำปรึกษา และช่วยออกแบบชุดหรือสีให้เหมาะกับการใช้ พร้อมบริการหลังการขายที่สามารถแก้ไขชุดให้ได้ในกรณีที่มีการฉีกขาด หรือหลวมไปคับไปจากน้ำหนัก และขนาดของหุ่นลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปไม่เกิน 5 กิโลกรัมบวกลบ
“ เราต้องการให้คนไทยรู้จักว่าร้าน จีเอ็มซี ตัดสูทได้ดี และราคาไม่สูง ไม่ใช่มีความคิดว่าสูทต้องตัดนานและมีราคาแพง แต่ตอนนี้สามารถตัดได้เร็วและพอดีตัวด้วย เราพยายามจะเปลี่ยนความคิดตรงนี้ ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ก็จะมีทั้งผ้าที่ผลิตในไทยและต่างประเทศกว่า 1 พันประเภท แล้วแต่ลูกค้าจะเลือก โดยการมีผ้าในสต็อกเยอะทำให้ร้านทำงานได้อย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น นักธุรกิจที่เดินทางเข้ามาทำงานที่ไทยก็จะมีเวลาอยู่ไทยประมาณ 2-3 วัน ลูกค้าก็สามารถได้สูทใหม่กลับไปใช้งานได้ ”
ด้านหลักคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น มองว่าอยู่ที่ความจริงใจและซื่อสัตย์ต่อลูกค้า โดยตนจะบอกกับลูกค้าไปตามตรง หากเป็นผ้าที่ดีก็อาจจะต้องขายในราคาที่สูง จะไม่มีการนำผ้าราคาถูกมาขายในราคาแพง ซึ่งการันตีได้จากความคิดเห็นจากชาวต่างชาติที่มีต่อร้านในด้านที่ดีไม่มีด้านลบเลย ส่วนคุณภาพในการผลิตทางร้านก็สามารถควบคุมได้ เพราะมีโรงงานตัดสูทที่เป็นของตนเอง จะไม่มีการส่งงานต่อไปให้กับเจ้าอื่น ขณะที่เรื่องของราคาก็มีความเหมาะสม โดยมีให้เลือกตั้งแต่ราคา 4,500-20,000 บาท.