“Love Farm”ครีเอทีฟสแนคแตกต่างอย่างสร้างสรรค์
จุดเริ่มต้นของธุรกิจหลากหลายธุรกิจมาจากความบังเอิญ แต่แอบแฝงไปด้วยไอเดีย และความคิดสร้างสรรค์ในการคิดค้น และนำเสนอผลิตภัณฑ์สู่ตลาด โดยส่วนใหญ่จะเลือกนำเสนอสิ่งที่แปลกใหม่ที่ตลาดตามปกติยังไม่เคยมี เพื่อสร้างจุดสนใจ และเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภค
“อุบลรัตน์ อิทธิเสริมบุญ” เป็นอีกหนึ่งหญิงเก่งที่เริ่มต้นทำธุรกิจของตนเอง จากการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร โดยที่ตัวเธอเองจะต้องมาพยายามค้นคว้า รวมถึงวิจัยและพัฒนาหาว่าจะมีวิธีการใดบ้างที่จะเพิ่มมูลค่าผลผลิตของเกษตรกรที่ตัวเธอช่วยรับซื้อเอาไว้ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้มากที่สุด ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆของการ Startup ธุรกิจของเธอขึ้นมาภายใต้แบรนด์ “Love Farm“
–จากมะขามต่อยอดไปสู่พืชผลชนิดอื่น
อุบลรัตน์ ในฐานะกรรมการ บริษัท เลิฟฟาร์ม กรุ๊ป จำกัด บอกถึงที่มาที่ไปของไอเดียในการทำธุรกิจ ว่า เดิมทีครอบครัวของเธอมีธุรกิจในการแปรรูปมะขามอยู่แล้ว โดยเป็นผลผลิตที่มาจากสวนของครอบครัว และการรับซื้อจากกลุ่มเกษตรกรเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งปลูกมะขามหวานที่ดีทีสุดในโลก แต่ก็ใช่ว่าดินที่จังหวัดเพชรบูรณ์จะปลูกได้เฉพาะมะขามหวานเท่านั้น ยังมีผลไม้อีกหลากหลายชนิดที่สามารถปลูกได้ ทำให้มีเกษตรกรมานำเสนอผลไม้ชนิดอื่นที่นอกเหนือจากมะขามอยู่เสมอ
เลมอน เป็นผลผลิตประเภทหนึ่งที่จังหวัดเพชรบูรณ์สามรถปลูกได้ แต่ติดปัญหาตรงที่ผลของเลมอนที่ได้จะมีรูปลักษณ์ไม่ค่อยสวยงามเหมือนที่ปลูกในต่างประเทศ ส่งผลให้จำหน่ายไม่ค่อยได้ราคาอย่างที่ต้องการ ดังนั้น จึงมีเกษตรกรมานำเสนอ เพื่อให้นำไปต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้จำหน่อยได้ราคาที่สูงขึ้น โดยเป็นการบ้านที่ตัวเธอต้องนำมาขบคิดให้ตกผลึก เพื่อสร้างสรรค์ให้เป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นมา ซึ่งจากการวิจัยและพัฒนา (R&D) ทำให้ได้บทสรุปที่การทำออกมาให้เป็นเลมอนอบแห้ง ซึ่งยังไม่เคยมีผู้ประกอบการายใดเคยทำมาก่อนในตลาด โดยเท่าที่เห็นจะมีแค่เลมอนแช่อิ่ม
“เราเรียกการนำเสนอผลิตภัณฑ์ในครั้งนี้ว่าครีเอทีฟแสนค (Creative Snack) หรือขนมที่กลั่นออกมาจากความคิดสร้างสรรค์ภายใต้พืชผลจากเกษตรกรของไทย เพราะเป็นการนำเสนอที่ยังไม่เคยมีมาก่อนในตลาด หลังจากนั้นจึงได้มีการต่อยอดผลิตภัณฑ์มาอย่างต่อเนื่อง จนได้เลมอนพริกเกลือ, มะม่วงน้ำปลาหวาน โดยที่ผลิตภัณฑ์ในตลาดส่วนใหญ่จะใช้เป็นมะม่วงสุก แต่ของเราจะใช้มะม่วงดิบผ่านการนำเสนอในรูปแบบของการอบแห้งภายใต้แบรนด์ Love Farm”
–แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่
สำหรับช่องทางในการทำตลาดหลักของแบรนด์ Love Farm นั้น จะดำเนินการผ่านช่องทางของห้างโมเดิร์นเทรด เช่น เซเว่นอีเลฟเว่น (7-11), แฟมิลี่มาร์ท (Family Mart), จิฟฟี่ (Jiffy), ท็อป มาร์เก็ต (Tops Market), วิลล่า มาร์เก็ท (Villa Market), แม็กซ์แวลู (Max Valu), เลมอนฟาร์ม (Lemaon Farm), โลตัส (Lotus), โกลเด้นเพลส (Golden Place) และเดอะมอลล์ (The Mall) นอกจากนี้ ยังมีช่องทางออนไลน์ผ่านทางเพจเฟสบุ๊ก
ส่วนแผนการทำตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้าปีนี้ บริษัทจะมุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนของฐานลูกค้าบนช่องทางออนไลน์ให้มีมากขึ้น จากเดิมที่มีสัดส่วนเพียง 1% จากยอดขายทั้งหมดให้เป็น 10% ในปีนี้ พร้อมทั้งมีการปรับเปลี่ยนแพคเกจจิ้งใหม่ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะเริ่มต้นประมาณเดือนกันยายนนี้
ทั้งนี้ ยังจะพยายามเพิ่มฐานลูกค้าของตลาดต่างประเทศให้เป็น 10% จากเดิมที่มีอยู่ประมาณ 3-5% ของรายได้ทั้งหมด จากการทำตลาดในประเทศจีน, ไต้หวัน และเกาหลี โดยมองไว้ที่ตลาดของประเทศยุโรป ซึ่งจะเป็นการทำตลาดในรูปแบบของการไปออกงานแสดงสินค้า และหาตัวแทนจำหน่ายของแต่ละประเทศ เหมือนกับกลยุทธ์ที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ในประเทศอื่น
นอกจากนี้ ยังจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะนำเสนอสู่ผู้บริโภคเพิ่มเติมอีก 3-4 ชนิด ประกอบไปด้วย ฝรั่งคลุกบ๊วยอบแห้ง, สัปปะรดพริกเกลืออบแห้ง, มันม่วงอบแห้ง และบ๊วยแผ่น ขณะที่โครงการนำดับถัดไปบริษัทมีแผนที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิดไทยสตรีทฟรุ๊ต (Thai Street Fruit) หรือการนำผลไม้ที่จำหน่ายในรูปแบบของรถเข็นมาทำเป็นอบแห้ง และโครงการเบเกอรี่อบแห้ง เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภคในการหาซื้อมารับประทาน
“การดำเนินการดังกล่าวของบริษัทอยู่บนแนวคิดของความสนุกและแปลกใหม่ที่ต้องการนำเสนอ โดยการนำอาหารทั่วไปมาบรรจุลงถุงในรูปแบบอบแห้ง โดยจะมุ่งเน้นแค่การเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะภาพรวมธุรกิจของบริษัทในอนาคตต้องการเป็นแบรนด์ของสแนคเบอร์ 1 ของประเทศไทย ที่ผู้บริโภคนึกถึง ซึ่งบริษัทมองว่าการรับประทานสแนคแล้วทำให้อ้วนเป็นเรื่องที่ปกติ โดยจะทำอย่างไรให้การรับประทานนั้นเป็นไปอย่างมีความสุข และสนุก”
–เล็งเพิ่มรายได้โต 100%
อุบลรัตน์ บอกอีกว่า จากการดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดในรูปแบบดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้เติบโตขึ้น 100% จากปีที่ผ่านมา โดยจะทำให้บริษัทมีรายได้ประมาณ 30 ล้านบาท จากเดิมที่ได้อยู่ที่ประมาณ 15 ล้านบาทในปี 60
ด้านหลักคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น ด้วยความที่แบรนด์มีแนวคิดจะต้องทำออกมาแล้วสนุก หากมัวแต่คิดก็คงจะไม่ได้เริ่มต้นทำ ดังนั้น เมื่อคิดออกแล้วจะต้องทำเลยทันที โดยจะต้องทำอะไรที่แตกต่างที่ยังไม่มีในตลาด เพื่อให้เป็นจุดขายของแบรนด์
“ต้องการให้การทำธุรกิจเป็นเรื่องสนุก ไม่กลัวที่จะจะลองทำ เพราะหากมัวแต่คิดว่าทำแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จก็คงจะไม่ได้ทำ เช่น ในช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจ มีหลายคนที่บอกว่าการทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเลมอนนั้นทำยาก แต่เราก็เลือกที่จะลงมือทำ โดยเมื่อทำไปแล้วก็ทำให้ได้พบกับปัญหาเรื่องของวัตถุดิบที่ไม่เพียงพอ เพราะเลมอนไม่ได้ปลูกได้ทั้งปี ซึ่งจากจุดดังกล่าวทำให้เราได้เรียนรู้ เพื่อนำกลับมาปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยหากในวันนั้นเลือกที่จะกลัวเพราะคำพูดจากผู้อื่น ธุรกิจแบรนด์ Love Farm ก็คงไม่ได้เกิดมาจนถึงปัจจุบัน”.