“Animal go round” ผลิตภัณฑ์เพื่อเจ้าของและสัตว์เลี้ยง
หากถามถึงธุรกิจในฝันของใครหลายคนก็คงจะต้องเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ เพราะจะทำให้การทำงานนั้นมีความสุขอยู่ตลอดเวลา ซึ่ง “วศิทธิ์ บัณฑิตย์ดำรงกุล” คือหนึ่งในผู้ประกอบการที่สามารถนำสิ่งที่ตนเองชื่นชอบมา Start up ให้เกิดกลายเป็นธุรกิจได้
-ธุรกิจของครอบครัว
วศิทธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง และผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ และออกแบบ บริษัท อะนิมอล-โก-ราวด์ จำกัด บอกว่า ธุรกิจที่ตนทำอยู่คือ เสื้อผ้าและแอ็คเซสซอรีเข้าชุดกันระหว่างสัตว์เลี้ยง และเจ้าของภายใต้แบรนด์ “Animal go round” โดยมีจุดเริ่มต้นจากความต้องการมีธุรกิจที่เป็นของตนเองตั้งแต่สำเร็จการศึกษา และได้ทำการหารือกับครอบครัวเพื่อสร้างธุรกิจร่วมกัน โดยนำสิ่งที่ชอบเหมือนกันมาเป็นไอเดีย และแรงผลักดัน ประจวบเหมาะกับที่คุณแม่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งทอ และมีความรู้ทางด้านเสื้อผ้าพอสมควร
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีประสบการณ์ แต่คุณแม่ก็ยังไม่เคยทำธุรกิจที่เป็นลักษณะของเสื้อผ้าพร้อมใส่ (Ready to wear) คำคอบที่กำลังตามหาจึงเริ่มปรากฎออกมาให้เห็น หลังจากนั้นจึงคิดต่อไปอีกว่านอกจากเสื้อผ้าแล้ว ยังมีความชื่นชอบอะไรอีกบ้าง ซึ่งปรากฎว่าการเลี้ยงสัตว์ คำตอบของสมการจากโจทย์ที่ตั้งจึงสมบูรณ์
ทั้งนี้ จากจุดเริ่มต้นดังกล่าวได้นำไปสู่การสร้างรายละเอียดของร้านขนาดเล็กร้านแรก ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวที่ทำร่วมกันขึ้นมาในปี 2551 โดยถือเป็นรายแรกของประเทศไทยที่ทำธุรกิจในรูปแบบดังกล่าวซึ่งได้แนวคิดมาจากความต้องการทำอะไรที่น่ารัก โดยมีไอเดียการออกแบบมาจากการสวมใส่แล้วมีความสุขทั้งเจ้าของ และสัตว์เลี้ยงมาสร้างให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์พร้อมใส่ใจในเรื่องของความปลอดภัยเวลาที่สวมใส่ และให้ความอบอุ่นกับหน้าอกของสัตว์เลี้ยงในเวลาหลับ
-ขยายตลาดใน/ต่างประเทศ
วศิทธิ์ บอกต่อไปว่า การทำตลาดในระยะแรกจะมุ่งเน้นการจำหน่ายภายในประเทศเป็นหลัก จนในระยะหลังช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาจึงเริ่มมีการทำตลาดส่งออก โดยมาจากกลยุทธ์การออกงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงงานใหญ่ของประเทศ ซึ่งทำให้ได้มีโอกาสพบกับลูกค้าจากต่างประเทศ และเกิดการเจรจาทางธุรกิจจนสามารถนำสินค้าไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้ในที่สุด โดยปัจจุบันแบรนด์มีช่องทางการจำหน่ายมากมายผ่านหน้าร้านที่เดอะเซอร์เคิล ราชพฤษ์ นอกนั้นจะเป็นการฝากจำหน่ายที่ร้านจำหน่ายอุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง สปา และสระว่ายน้ำสำหรับสัตว์เลี้ยงทั้งในกรุงเทพฯและบริเวณรอบนอก
ส่วนที่ตลาดต่างประเทศจะอยู่ในแถบทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ,ไต้หวัน ,มาเลเซีย ,อินโดนีเซีย ,ฮ่องกง และเกาหลี โดยเป็นการดำเนินการใน 2 รูปแบบ ทั้งการมีตัวแทนจำหน่าย และการเข้าไปทำตลาดด้วยตัวบริษัทเองแบบขายส่ง (Wholesale)
ขณะที่แผนในการขยายตลาดเพื่อเพิ่มฐานลูกค้าของแบรนด์ในระยะต่อไปนั้นจะดำเนินการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายไปสู่ต่างจังหวัด โดยเริ่มต้นจากหัวเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการสำรวจทำเล และความต้องการของตลาดอีกทั้งยังจะมีการออกงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงงานใหญ่เช่นเดิม เพื่อเป็นการรุกตลาดเข้าหาผู้บริโภคโดยตรง
“ตลาดส่งออกในปัจจุบัน หากดูจากจำนวนประเทศที่แบรนด์ทำตลาดอยู่ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี โดยการขยายตลาดอาจจะเป็นการเพิ่มจำนวนของผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น หรือการขยายให้มีตัวแทนจำหน่ายในประเทศที่ยังไม่มี เพื่อความสะดวกสบายในการเข้าทำตลาด และเพิ่มจำนวนประเทศส่งออกให้มากขึ้นด้วย โดยวางเป้าหมายให้มีสัดส่วน 40% ของยอดขายรวมทั้งหมด จากเดิมที่มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 30% และจะผลักดันให้กลายเป็น 50% ในระยะเวลา 2-3 ปี”
-ต่อยอดผลิตภัณฑ์
วศิทธิ์ บอกต่อไปอีกว่า ล่าสุดแบรนด์ได้ดำเนินการต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่ยาสีฟันสมุนไพรที่สามารถใช้ได้ทั้งสุนัข และแมว โดยเน้นการใช้ส่วนผสมที่อ่อนโยน และไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อสัตว์ ซึ่งแบรนด์จะนำเอกลักษณ์ความเป็นไทยมาเป็นจุดขายในการส่งออกด้วย เช่น กลิ่นมะม่วง ,ใบเตย และมะพร้าว เป็นต้น โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวถือว่าแบรนด์เป็นเจ้าแรกของไทยที่ทำ ซึ่งมีการจำหน่ายผ่านช่องทางทั้งหมดของแบนด์ที่มีอยู่ และเริ่มส่งออกไปแล้วยังประเทศไต้หวัน ,อินโดนีเซีย ,ฮ่องกง และสิงคโปร์
นอกจากนี้แบรนด์ยังอยู่ระหว่างการวิจัย และพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อนำเสนอออกสู่ตลาดให้เป็นทางเลือกสำหรับลูกค้า และขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยจะเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพปากและฟันของสัตว์เลี้ยง
“ปัจจุบันมีคู่แข่งทางการตลาดมากขึ้น โดยแบรนด์เลือกที่จะสร้างความแตกต่างด้วยการรักษาแนวคิด หรือคอนเซ็ปป์ รวมถึงการรักษาความเป็นแบรนด์ดิ้ง และการรักษาคุณภาพ เพราะแบรนด์ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในกลุ่มของผู้บริโภคเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ โดยกลุ่มลูกค้าของแบรนด์จะเป็นกลุ่มที่มีรายได้ระดับกลางจนถึงสูง”
สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Animal go round อยู่ที่การมีเสื้อผ้า หรือและแอ็คเซสซอรีคู่กันระหว่างเจ้าของ และสัตว์เลี้ยง รวมถึงแนวคิดที่ค่อนข้างชัดเจนตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจการคุมโทนสีที่เป็นธรรมชาติ โดยเลือกใช้สีพาสเทล หรือสีอ่อน และการออกแบบที่ทำให้สวมใส่ได้ทุกวัน ทุกฤดูกาล
วศิทธิ์ บอกว่า ตลาดเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงยังสามารถเติบโตได้อีกในระยะยาวโดยมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงมีการเติบโตทุกปี 10% อีกทั้งยังมีผู้เลี้ยงสัตว์มากขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของครอบครัวเดี่ยวทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการให้ความใส่ใจกับสัตว์เลี้ยงมากกว่าในอดีตแฟชั่นไลฟ์สไตล์ถูกนำเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการเลี้ยงสัตว์ และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงมีให้เลือกหลากหลาย.