สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป ดีไซน์ล้ำตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่
โลกของการแข่งขันมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ผู้ที่จะสามารถได้รับชัยชนะก็คือผู้ที่ก้าวเดินตามทัน หรือนำหน้าไปก่อนอย่างน้อย 1-2 ก้าว บริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป จำกัด
ที่มีผู้นำทัพอย่างพิชเยนทร์ หงส์ภักดี นั่งแท่นเป็นประธานกรรมการบริหาร คือหนึ่งในตัวย่างของบริษัทที่สามารถยืนได้อย่างสง่าผ่าเผย ด้วยวิสัยทัศน์การบริหารที่ไม่ยอมหยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่จะต้องมีการพัฒนา และวิจัยหาสิ่งใหม่ๆมามอบให้กับผู้บริโภคอยู่เสมอ
พลิกวิกฤติเป็นโอกาส
พิชเยนทร์ บอกถึงที่มาที่ไปของการทำธุรกิจว่า เริ่มต้นจากการพัฒนา Chipset ขึ้นมาจำหน่ายทางเว็บไซต์ จนกลายเป็นโอกาสในการต่อยอดสู่การเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์คอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น เมาส์ คีย์บอร์ด หูฟัง ฯลฯ ในฐานะผู้รับจ้างผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ต่างๆตามที่ลูกค้ากำหนด (OEM) ให้กับหลายแบรนด์ดังทั่วโลก แต่เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤตเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศที่มีการชุมนุมปิดสนามบิน จนส่งผลกระทบต่อธุรกิจ จึงตัดสินใจพลิกวิกฤตเป็นโอกาสด้วยการสร้างแบรนด์ของตนเองขึ้นภายใต้แบรนด์ “Anitech” ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์คอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทุกระดับจึงทำได้ขยายแบรนด์สินค้าของออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบไปด้วย ได้แก่1. Anitech อุปกรณ์ต่อพวงคอมพิวเตอร์ที่โดดเด่นด้านดีไซน์ เป็นแบรนด์เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ ,2.Nobi เป็นแบรนด์ที่ทุกคนเข้าถึงและราคาจับต้องได้ เพื่อเอาไว้สู้กับสินค้าจีน ,3.Pentagonz แบรนด์ที่เน้นอุปกรณ์เสริมสำหรับนักเล่นเกมส์โดยเฉพาะ และ 4. 45° เป็นแบรนด์ครีเอทีพที่เน้นเรื่องการออกแบบ ผลิตให้ตัวแทนจำหน่ายขายเฉพาะแบรนด์นี้เจ้าเดียว
ชูจุดเด่นสินค้าดีมีสไตล์
สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์จาก สมาร์ท ไอดี นั้น พิยเชนทร์บอกว่า อยู่ที่การออกแบบ หรือดีไซน์ที่ทันสมัย รวมถึงการมีสินค้าที่หลากหลาย และที่สำคัญมีการรับประกันสินค้าให้ลูกค้านานถึง 2 ปี โดยประกันความเสียหายสูงสุดถึง 300,000 บาท หากเกิดเหตุอันเนื่องมาจากสินค้า ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพสินค้าให้ลูกค้าเชื่อมั่นไว้วางใจได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีทีมนักวิจัยและพัฒนาที่เรียกว่า ทีม In-house design ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการออกแบบ ติดตามเทรนด์เทคโนโลยีอยู่เสมอ ทำให้ในแต่ละปีสามารถออกสินค้าใหม่ๆ มาตอบโจทย์ตลาดได้กว่า 100 รายการ
“การพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะใช้เน้นเรื่อการตอบโจทย์ความต้องการของสินค้าเป็นหลัก โดยบริษัทมีทีมวิจัยและพัฒนาที่สามารถเป็นทั้งผู้ผลิต และออกแบบสินค้าได้เอง ซึ่งในระยาวได้มีการวางเป้าหมายในการเป็นผู้ผลิตสินค้าที่ทุกครอบครัวในภูมิภาค AEC จะต้องมีสินค้าของบริษัทอย่างน้อย 1 ผลิตภัณฑ์ภายในบ้าน หรือตลาดที่ขยายใหญ่ขึ้นเป็น 600 ล้านคน หรือผลิตภัณฑ์ประมาณ 600 ชิ้น จากเดิมที่บริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้ประมาณ 2 ล้านชิ้นต่อปี”
ด้วยความมุ่งมั่นในการทำธุรกิจ และสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ทำให้บริษัทได้รับรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ครั้งที่ 12 ในมิติ การบริหารจัดการด้านการสร้างตราสินค้าและการตลาด (Branding and Marketing) และมิติการสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship)
ปัจจุบันบริษัทมีการทำตลาดผ่านหน้าร้านต่างๆ และตัวแทนจำหน่าย โดยมีจุดจำหน่ายสินค้ามากกว่า 8,000 จุดที่พร้อมจะรับผลิตภัณฑ์ไปจำหน่าย ขอเพียงแค่บริษัทออกแบบมาและตรงกับความต้องการของตลาด สามารถลงไปแก้ปัญหาของตลาดได้เท่านั้น การกระจายสินค้าก็ไม่ใช่เรื่องที่ยาก โดยรูปแบบของธุรกิจบริษัทจะไม่ได้พึ่งการลงทุนในสินทรัพย์ที่พึ่งการเติบโต แต่เป็นรูปแบบธุรกิจใหม่ที่มีการสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด ฉะนั้นเมื่อมีระบบปฏิบัติการในการกระจายสินค้าที่ครบแบบที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ก็จะสามารถทำให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้ หากผลิตภัณฑ์ที่ออกจำหน่ายตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
“เราทำวิจัยทางการตลาดตลาดเวลา โดยเน้นการมองหาความต้องการของตลาด และนำสิ่งนั้นมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าของที่มีอยู่ โดยเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่รอบตัวของผู้บริโภค ซึ่งอาจยังไม่ถูกใจนักแต่มีความจำเป็นต้องใช้ เสมือนการเข้าไปช่วยแก้ปัญหาที่อยู่ในส่วนลึก จากความต้องการสินค้าที่ดีแต่ราคาก็จะต้องสูง เมื่อหันมาใช้สินค้าราคาถูกคุณภาพก็จะไม่ได้ เราจะนำเสนอสินค้าที่คุณภาพดีในราคาที่จับต้องได้ และการดีไซน์ที่สามารถนำออกไปอวดคนอื่นได้ให้กับตลาด เพราะฉะนั้นเชื่อว่าด้วยกลยุทธ์ดังกล่าวนี้จะทำให้เราเติบโตได้อย่างทวีคูณเวลาที่ผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด และโดนใจผู้บริโภค”
วางเป้ารายได้ปี 60 โต 20%
พิชเยนทร์ บอกถึงเป้าหมายของธุรกิจด้วยว่า ในปี 2560 บริษัทตั้งเป้าจะมีรายได้ 320 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 20% จากปีที่ผ่านมาซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 245 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการใช้กลยุทธ์ในการพัฒนาสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด ซึ่งมีเป้าหมายที่กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเป็นหลัก เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม
ทั้งนี้ ในเดือนมีนาคม 2560 บริษัทจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดในกลุ่มที่เป็นอินเตอร์เนตออฟติง (Internet of Thing) หรือเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ โดยสามารถบังคับเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านอุปกรณ์ปลั๊กไฟที่บริษัทพัฒนาได้บนแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ ยังเตรียมออกผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่เหมาะกับวิถีการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ เพื่อต่อยอดกลุ่มผลิตภัณฑ์ปลั๊กไฟดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเหล่านี้จะไม่ใช่ส่วนที่ทำให้บริษัทโต 20% ในปีนี้ แต่อาจจะทำให้โตได้มากกว่าหากผลิตภัณฑ์ได้รับการตอบรับที่ดจากผู้บริโภค
“แอพพิเคชั่นควบคุมปลั๊กไฟจะสามารถใช้ได้ทั้งระบบ IOS และ Android โดยเราจะนำสิ่งเหล่านี้มาพัฒนาต่อยอดกับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่เป็นสมาร์ทโปรดักส์ เพื่อให้การใช้ชีวิตของผู้บริโภคง่ายขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับคุณภาพ ตอบสนองการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับตลาด โดยเราเลือกที่จะเป็นผู้ออกแบบการใช้ชีวิตใหม่ ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ได้ เพราะบริษัทไม่เน้นกลยุทธ์การแข่งขันทางด้านราคา”
ขณะที่การทำตลาดต่างประเทศปีนี้บริษัทตั้งเป้าจะมีรายได้อยู่ที่ 20% จากรายได้ทั้งหมด โดยเติบโตจาก 8% ในปีที่ผ่านมา ขณะที่ในปี 2561 ตั้งเป้าจะให้มีสัดส่วนรายได้เป็น 50% เท่ากันระหว่างในประเทศต่างประเทศ โดยวางกลยุทธ์หลักในการหาจุดกระจายสินค้าที่มีความเหมาะสม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมเรื่องของการสร้างแบรนด์ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในลำดับถัดมาของบริษัท และการจัดกิจกรรมทางการตลาดได้ โดยบางประเทศบริษัทสารถทำได้แล้ว แต่บางประเทศยังอยู่ในขั้นตอนของการแสวงหา เช่น ที่ประเทศอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์