ส่องเศรษฐกิจแดนมังกร ผ่านความมั่งคั่ง 5 เจ้าสัวใหญ่

ทั่วโลกเฝ้าจับตาดูภาวะเศรษฐกิจจีน ซึ่งส่งสัญญาณว่า การลงทุนในภาคเอกชนกำลังหดตัว การส่งออกถดถอย ในขณะที่ระดับตัวเลขด้านหนี้สินสูงขึ้น
แต่นักลงทุนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ยังให้ความมั่นใจว่า ตลาดเมืองจีนนั้นยังมีโอกาสเติบโตไปได้เรื่อยๆ แต่จะไม่ค่อยร้อนแรงนัก เนื่องจากเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากกว่า 1.3 พันล้านคน
สำหรับภาวะเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 3 นั้น สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานว่า ขยายตัวเพิ่มที่ร้อยละ 6.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ส่วนอนาคตอันใกล้นั้น จะมีปัจจัยอะไรมากระทบกับการค้าจีนหรือไม่ จะมีนโยบายกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ ภายใต้การนำของนายโดนัล ทรัมป์หรือเปล่า คงต้องจับตาดูกันต่อไป
ดรรชนีชี้วัดอย่างหนึ่งที่สามารถสะท้อนภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนให้เห็นภาพได้พอสมควร ก็คือตัวเลขรายได้ที่งอกเงยขึ้นของเหล่าบรรดาอภิมหาเศรษฐีของจีนแผ่นดินใหญ่นั่นเอง ซึ่งจากการจัดอันดับของนิตยสาร Forbs ล่าสุดนั้น ค้นพบว่าคนรวยที่สุดของจีนประจำปี 2016 อย่าง นายหวาง เจี้ยนหลิน (Wang Jianlin) ซีอีโอแวนด้ากรุ๊ป เจ้าของต้าเหลียน แวนด้า(Dalian Wanda)ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมบันเทิงครบวงจร วันนี้ธุรกิจของเขามีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 33 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ(ราว 1188 พันล้านบาท) ขยับขึ้นจาก 30 พันล้านเหรียญฯ เมื่อปีกลาย
เดือนกันยายนที่ผ่านมา นายหวางเพิ่งวางศิลาฤกษ์เปิดงานก่อสร้างอาคารสูง 95 ชั้น มูลค่า 900 ล้านเหรียญฯ ในนครชิคาโก สหรัฐฯ ซึ่งจะกลายเป็นตึกสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของเมืองนี้ เข้าถึงเดือนตุลาคม Wanda Resorts อีกธุรกิจของนายหวาง ก็เพิ่งฉลองความสำเร็จจากการเปิดโรงแรมครบเป็นแห่งที่ 100 ได้ภายในรอบ 4 ปี
นายหวางกลายเป็นที่จับตาในแวดวงธุรกิจอย่างมากเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อเขาตัดสินใจทุ่มงบ 1 พันล้านเหรียญฯ เข้าไปเทคโอเวอร์ Dick Clark Productions บริษัทผู้จัดรายการทีวีอเมริกัน เจ้าของรายการดัง อย่าง รายการแจกรางวัลลูกโลกทองคำ (The Golden Globe) และการจัดประกวดนางงาม Miss America
นับเป็นอีกก้าวย่างสำคัญตามแผนการอันทะเยอทะยานในการเข้ายึดอุตสาหกรรมบันเทิงของอเมริกา โดยนายหวางวาดฝันไว้ว่า วันหนึ่งเขาจะต้องเป็นเจ้าของสตูดิโอใหญ่ 6 แห่งของฮอลลีวู้ดให้ได้ โดยในตอนนี้ปูทางก่อสร้างสตูดิโอถ่ายภาพยนตร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมูลค่าถึง 8.2 พันล้านเหรียญฯ ที่เมืองชิงเต่า ทางชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของจีนเอาไว้แล้ว ซึ่งในอนาคตมีศักยภาพรองรับอุตสาหกรรมถ่ายภาพยนตร์และผลิตรายการทีวีจากทั่วโลกได้มากถึง 40 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว และแน่นอนได้เลยว่า กว่าจะไปถึงจุดนั้น เราคงได้เห็นอิทธิพลของจีนแทรกซึมในหนังดังฮอลลีวู้ดมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น กรณีเอา เจย์ โจว ดาราไต้หวันซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในอเมริกา เข้ามารับบทในหนังดังเรื่อง Now You See Me 2 (2016) ซึ่งเชื่อว่าเป็นใบสั่งจากจีน
อภิมหาเศรษฐีจีนรายต่อมาที่ทำผลกำไรเพิ่มขึ้นอย่างอู้ฟู่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ ได้แก่ นายแจ็ค หม่า คนรวยที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของจีน เจ้าของ Alibaba Group ซึ่งทำตัวเลขรายได้จาก 21.8 พันล้านเหรียญฯ ในปีก่อน ขยับเพิ่มขึ้นมาเป็น 28.2 พันล้านเหรียญฯ ในปีนี้ สะท้อนถึงความสำเร็จในด้านอีคอมเมิร์ซอย่างน่าพึงพอใจ ในรอบปีงบประมาณที่แล้วมีกระแสเงินเข้ามาหมุนเวียนในธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ของอาลีบาบาอย่างมหาศาลนับ 463 พันล้านเหรียญฯ เป้าหมายของแจ๊ค หม่าตอนนี้ คือการสร้างโมเดลธุรกิจที่ทำกำไรได้ในระดับ 10 ล้านเหรียญฯ และสร้างงานให้กับประชากรนับ 100 ล้านคนในอีก 20 ปีข้างหน้า เขาเชื่อว่าด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบการตลาด ระบบการชำระเงิน โลจิสติกส์ ฐานเก็บข้อมูล ไล่ไปถึงคอมพิวเตอร์คลาวด์ บวกกับพฤติกรรมการซื้อ-ขายที่แปรเปลี่ยนไปของมนุษย์ในอนาคต จะทำให้มูลค่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซขยับขึ้นเป็นระดับแสนล้านในอีก 30 ปีข้างหน้า
แต่สำหรับในยุคปัจจุบัน วันสำคัญที่สุดแห่งปีสำหรับการค้าขายออนไลน์ของจีน ได้แก่ 11.11 หรือวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งแต่เดิมเป็นวันคนโสด ต่อมากลุ่มอาลีบาบาได้เลือกเอาวันนี้เป็นวันลดกระหน่ำสินค้าทางออนไลน์สำหรับชายโสดมานับตั้งแต่ 2009 แต่หลังจากประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องติดต่อกันทุกปี ในที่สุด 11.11 ก็ได้กลายเป็นวันขายสินค้าออนไลน์นานาชนิดในราคาพิเศษสุดๆ ที่เหล่านักช้อปต่างเฝ้ารอในรอบปี ซึ่งก็ไม่ได้มีเพียงแค่ชาวจีนนับพันล้านคนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชาวโลกที่สนใจสินค้าจีนคุณภาพดีราคาถูกอีกด้วย เพราะร้านค้าออนไลน์สามารถค้าขายกับผู้คนได้ทั่วโลก
ในปีที่แล้ว คนจีนใช้เงินจับจ่ายซื้อของในวันที่ 11.11 กันมากถึง 14 พันล้านเหรียญฯ ภายในเวลาเพียงแค่ 24 ชั่วโมง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2014 ถึง 60 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว และคาดกันว่าในปี 2016 นี้ ยอดใช้จ่ายเงินซื้อสินค้าทางออนไลน์คงจะสะพัดทุบสถิติปีที่แล้วอย่างแน่นอน
มาว่ากันต่อถึงอภิมหาเศรษฐีจีนอันดับที่ 3 อย่าง นายหม่า หัวเติ้ง (Ma Huateng) ผู้บริการสูงสุดของ Tencent ผู้ให้บริการธุรกิจเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ที่สุดของจีน ผู้ผลิต WeChat โปรแกรมสนทนาออนไลน์ที่มีผู้ใช้ไม่ต่ำกว่า 800 คนในปัจจุบัน ปัจจุบันเทนเซนต์เป็นบริษัทมหาชนที่มีมูลค่าทางธุรกิจสูงที่สุดในแผ่นดินใหญ่ โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 255 พันล้านเหรียญฯ ในปีนี้นายหม่า ร่ำรวยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 45% โดยคำนวณจากยอดสินทรัพย์ที่เพิ่มจาก 17.6 พันล้านเหรียญฯ ในปีที่แล้ว มาเป็น 24.5 พันล้านเหรียญฯ ในปีนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมูลค่าหุ้นของเทนเซ็นต์ ในตลาดหุ้นฮ่องกงที่เพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง
คนรวยสูงสุดเป็นอันดับที่ 4 ได้แก่ นายหวาง เว่ย (Wang Wei) ประธานบริษัท ผู้ให้บริการส่งพัสดุรายใหญ่ของจีน S.F.Express ที่ให้บริการอย่างกว้างไกลไปทั่วโลกไม่น้อยกว่า 45 ประเทศ เมื่อปีที่แล้วสามารถทำกำไรได้ร่วม 7.2 พันล้านเหรียญฯ สร้างความมั่งคั่งอย่างมากให้กับนายเว่ย ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นในบริษัทอยู่ราว 68% และส่งผลให้มีสินทรัพย์โดยรวมในปีนี้อยู่ที่ 18.5 พันล้านเหรียญฯ
ปิดท้ายด้วยคนรวยสุดๆ ติดอันดับที่ 5 ของจีนในปัจจุบัน ซึ่งก็ได้แก่ นายวิลเลียม ติง (William Ding) เจ้าพ่อวงการเกมส์ออนไลน์จีนที่ร่ำรวยพรวดพราดตามกระแสฮิตเกมมือถือและจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์ฟันธงว่า NetEase.com บริษัทให้บริการเว็บท่าของนายติง ในปีนี้น่าจะทำกำไรเพิ่มจากเดิมได้อีก 70% หรือราว 5.8 พันล้านเหรียญฯ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลพวงจากราคาหุ้นในตลาดแนสแดค (Nasdaq) ของสหรัฐฯ ที่พุ่งขึ้นเกือบ 90% ในปีที่แล้ว และนั่นก็ทำให้เขารวยแบบก้าวกระโดดขึ้นจากอันดับที่ 10 ในปีก่อน โดยมีมูลค่าทรัพย์สินโดยรวมในปัจจุบันประมาณ 15.2 พันล้านเหรียญฯ
พิจารณาดูตัวเลขความมั่งคั่งของเหล่าบรรดาอภิมหาเศรษฐีชาวจีนแล้ว คงพอสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มเศรษฐกิจจีนระยะนี้กันได้ระดับหนึ่ง และถ้าหากจะนำมาเปรียบเทียบกับเหล่าบรรดาเจ้าสัวในบ้านเราที่ยังคงอิงกับการทำเงินจากอาหารและเครื่องดื่มกันอยู่ ก็คงจะเห็นภาพว่า เจ้าสัวจีนนั้นได้ก้าวเข้าไปสู่การโกยรายได้จากการให้บริการทางอินเตอร์เน็ต ในทิศทางเดียวกับเหล่าบรรดาอภิมหาเศรษฐีด้านไอทีของโลกตะวันตกไปแล้ว แต่ที่น่าจับตาเป็นพิเศษคงเป็นความพยายามสร้างความมั่งคั่งในธุรกิจบันเทิงจากสุดยอดอภิมหาเศรษฐีจีน อย่าง หวาง เจี้ยนหลิน ผู้พยายามเข้าไปครอบครองอุตสาหกรรมบันเทิงระดับโลก รวมทั้งแจ็ค หม่า ที่เริ่มสนใจช่องทางทำธุรกิจด้านนี้ โดยการเปิดแผนกภาพยนตร์ของอาลีบาบาขึ้นมา (Alibaba Pictures) เพื่อร่วมลงทุนเล็กๆ กับ Amblin Partners บริษัทของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อก้องโลก
มาถึงตรงนี้ก็คงต้องสรุปปิดท้ายกันว่า คนจีนนั้น ไม่ได้มีแค่กิติศัพท์ในด้านความเป็นชนชาติที่มีหัวการค้าเท่านั้น แต่ยังมีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลกอีกต่างหาก ดังนั้นโอกาสที่เศรษฐกิจจีนจะถดถอยนั้นอาจมีความเป็นไปได้ แต่จะลุกลามไปถึงขั้นล้มครืนเลยนั้นคงมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก เพราะนั่นอาจหมายถึงการล่มสลายของระบบเศรษฐกิจโลกทั้งใบ.