เลือกตั้ง” สหรัฐฯ “กดดันหุ้นไทยระยะสั้น

ตลาดหุ้นช่วงโค้งสุดท้ายการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นผันผวนและปรับลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงที่ใกล้วันเลือกตั้ง ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินผลกระทบแค่ระยะสั้น และจากสถิติย้อนหลัง 9 ครั้งไม่น่ากังวล
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งสหรัฐจะเกิดขึ้น ดัชนีแกว่งตัวผันผวนต่อเนื่อง โดยปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการลงทุนช่วงเวลาดังกล่าวจะเป็นเรื่องของการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 8 พ.ย.นี้
ล่าสุด (4พ.ย.2559) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,484.50 จุด ลดลง 1.46%จากเมื่อวันที่ 25ต.ค.2559
บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า ดัชนีหุ้นไทยจะแกว่งตัวต่อเนื่อง โดยประเด็นที่สำคัญ คือเรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 8 พ.ย.2559 คาดว่าจะเริ่มรู้ผล Exit Poll ในช่วงสายๆ ของวันที่ 9 พ.ย. 2559ตามเวลาประเทศไทย
หากนาง Clinton ได้ชัยชนะ คาดว่าสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกฟื้นตัวเด่น แต่หากนาย Trump ได้รับชัยชนะ คาดว่าสินทรัพย์เสี่ยงจะปรับฐานลง จากความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจ การเงิน และต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากรณีนาง Clinton หรือ นาย Trump ชนะ ฝ่ายวิจัยได้แนะนำให้นักลงทุนเข้าสะสมหุ้นในช่วงเวลาดังกล่าว เพียงแต่หากเป็นนาง Clinton ได้ชัยชนะ หุ้น Big Cap และกลุ่มพลังงานเป็นหุ้นเป้าหมาย แต่หากนาย Trump ได้ชัยชนะ แนะนำให้เข้าสะสมหุ้น Domestic Play เพื่อปิดความเสี่ยงจากนโยบายต่างประเทศของ Trump ในช่วงสั้น
บล.เคทีบี ประเมินผลกระทบต่อตลาดหุ้นในเบื้องต้น มองว่า ด้วยมาตรการกีดกันทางการค้า, ต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้นสินค้าต่างๆ (เช่น รถยนต์, โทรศัพท์มือถือ) ที่มีฐานการผลิตในต่างประเทศ รวมถึงการลดระยะเวลาขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลลบต่อตลาดหุ้นโดยรวม โดยเฉพาะหุ้นที่มี beta สูงหรือหุ้นที่อิงกับภาวะตลาดหุ้นอาจปรับตัวลดลงในช่วงแรกหลังทราบผลเลือกตั้ง แต่ในระยะต่อไปจะมีการประเมินว่า นโยบายของทรัมป์นั้น จะสามารถนำมาใช้จริงได้ในระดับใด เพราะนโยบายที่สุดขั้วแบบนี้ ประชาชนสหรัฐฯที่มีรายได้น้อยของสหรัฐฯ แต่กลุ่มผู้ประกอบการที่มีธุรกิจส่งน่าจะถูกกระทบและเสียประโยชน์จากนโยบายในเชิง nationalism ของทรัมป์
ส่วนหุ้นไทยที่จะได้ผลบวกหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งได้แก่หุ้นไทยยูเนี่ยน(TU) ,หุ้นซีเฟรซ(CFRESH) , หุ้นบ้านปู(BANPU) หุ้นที่จะได้ปัจจัยลบ ได้แก่ หุ้นคอมเซเว่น( COM7) ,หุ้นทีวีโอ( TVO)
“จากผันผวนของตลาดที่เป็นผลมาจากความกังวลเรื่องการเลือกตั้งสหรัฐฯ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงต่อเนื่อง บล.KTBST มองว่าเป็นจังหวะให้ทยอยลงทุนได้ และยังคงให้น้ำหนักว่า นางฮิลลารี คลินตัน จะชนะการเลือกตั้งมากกว่า แต่นักลงทุนอาจถือเงินสดไว้บ้างเพื่รอดูสถานการณ์ในช่วงนี้ “
บล.โนมูระพัฒนสิน ระบุว่า หากกลับมาพิจารณาข้อมูลเชิงสถิติเกี่ยวกับผลกระทบของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯต่อตลาดหุ้นไทย ย้อนหลัง 9 ครั้ง ตั้งแต่ปี 1980 จะพบว่า ช่วง 1เดือนก่อนการเลือกตั้ง SET จะปรับตัวลงราว -3.3% แต่โอกาสปรับฐานต่ำเพียง 44% อีกทั้งการเลือกตั้งปี 1996 และ 2008 เป็นปีที่มีวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งและซับไพร์ม ดังนั้นหากหักผลกระทบตรงนี้ออกไป จะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยแทบไม่ปรับฐานก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ เลย
อีกทั้งหลังการเลือกตั้งแล้วเสร็จ SET กลับฟื้นตัวโดดเด่นเฉลี่ย 1%-22% ในช่วง 1-4 ไตรมาสถัดมา โดยเฉพาะหากตัดช่วงวิกฤตเศรษฐกิจออกจะพบว่า 1 ไตรมาสหลังเลือกตั้ง SET แกว่งบวกเฉลี่ย 5% ด้วยโอกาสสูง 71.43% สะท้อนการลงทุนตอบรับความมั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจของผู้นำโลกอย่างสหรัฐฯมากกว่า
จึงประเมินว่าผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจเป็นเพียงปัจจัยที่กระทบระยะสั้นเท่านั้น
ขณะที่ในช่วงถัดไปตลาดสินทรัพย์เสียงจะตอบรับในเชิงบวก ดังนั้นจังหวะตลาดย่อ ถือเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานเด่น ส่วนปัจจัยเพิ่มเติมที่แนะจับตาวันนี้ คือ การรายงานดัชนีการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. โดย consensus คาดเพิ่มขึ้นราว 1.73 แสนตำแหน่ง จากเดือนก่อนที่ 1.56 แสนตำแหน่ง ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจของ FED ในการตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธค. นี้ได้ (ล่าสุด Bloomberg consensus ให้โอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ย เดือน ธค. ที่ระดับ 78%)
บล.ฟิลลิป ระบุว่าตลาดหุ้นไทยกับการเลือกตั้งสหรัฐฯ นั้น จากสถิติการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐ 5 ครั้งหลังสุดพบว่า SET Index มักจะปรับตัวลงประมาณ 1% ในช่วงสองสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง หากเทียบกับระดับดัชนีในปัจจุบัน ดัชนีน่าจะปรับตัวลงมาแถว 1491 จุด
Sentiment เริ่มไม่ดีนักเมื่อพิจารณา P-FG Index ที่ทางฝ่ายจัดทำขึ้นเพื่อวัดอารมณ์ของนักลงทุนในตลาด เริ่มกลับตัวสู่ภาวะ Fear อีกครั้ง สอดคล้องกับการฟื้นตัวของดัชนีที่ไม่แข็งแรงนัก ทำให้น่าระวังการปรับฐานจากความเสี่ยงของผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ โดยตลาดทุนทั่วโลกมีความกังวลที่ชัดเจน หากทรัมป์ชนะในการเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯ ครั้งนี้
ขณะเดียวกันเริ่มมีสัญญาณการปรับฐานให้เห็น Fund flow กลับทิศอย่างชัดเจน โดยในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในหุ้นไทยประมาณ 6,838 ล้านบาท น่าสังเกตการปรับตัวลงของหุ้นในกลุ่ม Big Cap นำโดยกลุ่มธนาคาร และแรงกดดันหุ้นกลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงมาซื้อขายที่ระดับต่ำกว่า 45 เหรียญต่อบาร์เรล ดังนั้น น่าระวังการหลุดแนวรับ 1480 จุด ที่ทางฝ่ายวิจัยมองว่าหากหลุดแนวรับดังกล่าวดัชนีมีโอกาสกลับตัวเป็นขาลงระยะสั้นได้ มองกรอบวันนี้ 1480 – 1500 จุด
บล.ธนชาต ให้ความเห็นว่า นักลงทุนอยู่ในสถานะ Risk-off ต่อเนื่อง รอผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ วันที่ 8 พ.ย.นี้ โดยในทางสถิติจะเห็นว่าดัชนีหุ้น Dow Jones มีโอกาสปรับสูงขึ้นถึง 86% (6 ครั้งใน 7 ครั้งที่มีการเลือกตั้ง) หลังการเลือกตั้ง 3 เดือน.SET มีแนวโน้มถูกกดดันจากกลุ่มพลังงาน อย่าง PTT PTTEP หลังราคาน้ำมัน Brent ปรับลดลงต่อเนื่องอีก 1.1% เมีอคืนนี้ แต่ยังมอง Downside risk จำกัดที่ 1,480 จุด และมองกรอบเคลื่อนไหวที่ 1,480-1,520 จุด ต่อไป