ลุ้นทองคำก้าวเข้าสู่วงจรขาขึ้น
นักวิเคราะห์ต่างประเทศและผู้ค้าทองคำในไทยแนะเกาะติดสถานการณ์ราคาทองคำใกล้ชิด ชี้หากเศรษฐกิจโลกไม่นิ่ง ตลาดการเงินผันผวนต่อเนื่อง ราคาน้ำมันดิบยังคงดิ่งเหว เชื่อนักลงทุนหันหาสินทรัพย์ปลอดภัย หนุนราคาทองแตะ 1,300ดอลลาร์ต่อออนซ์ประเมินเข้าสู่วงจรขาขึ้นอีกครั้ง
การเริ่มต้นปี 2559 ตลาดการเงินโลกปั่นป่วน ทุนเคลื่อนย้ายเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความไม่แน่นอนทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจโลก และทิศทางของราคาน้ำมันดิบ ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง คือ ทองคำ
สถานการณ์ราคาทองคำตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นจากระดับประมาณ 1,060 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขึ้นมาแตะระดับ 1,250 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น เกิดจากเม็ดเงินลงทุนเคลื่อนย้ายออกจากสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นตลาดเงิน ตลาดทุน เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกส่งเค้าชะลอตัวต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ราคาทองคำในตลาดลอนดอนช่วงที่ผ่านมา ปรับตัวสูงขึ้น 4%แตะระดับสูงสุดในรอบ 1 ปีเมื่อวันที่11 ก.พ.2559 โดยมายืนอยู่ที่ 1,260.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากนั้นก็อ่อนตัวลงมาเล็กน้อย
ทั้งนี้สถานการณ์ราคาทองคำช่วงต้นเดือนก.พ.2559 ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5.5% ซึ่งนับเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดหากย้อนเวลากลับไปเมื่อ3ปีก่อน (ตั้งแต่เดือนต.ค. 2554)
นักวิเคราะห์ต่างประเทศลุ้นทองแตะ1,300ดอลลาร์
ข้อมูลจากต่างประเทศพบว่า นักวิเคราะห์ต่างประเทศมีการประเมินว่า เป้าหมายของราคาทองคำมีโอกาสเพิ่มขึ้นไปถึง 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากความปั่นป่วนในตลาดการเงินยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง
รวมทั้งมีนักวิเคราะห์บางคนมีมุมมองว่า ราคาทองคำอาจปรับตัวขึ้นไปสูงถึงระดับ 1,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ขณะเดียวกัน สภาทองคำโลกรายงานว่าการที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ และนักลงทุนจีนเข้าซื้อทองคำ ช่วยทำให้ความต้องการทองคำในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้วเพิ่มขึ้น โดยสำหรับทั้งปีที่แล้วนั้น จีนยังเป็นผู้ซื้อทองรายใหญ่ที่สุดในโลก รวมทั้งแซงหน้าอินเดียแล้ว
อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ได้เข้าซื้อทองคำ เพื่อสร้างความหลากหลายแก่ทุนสำรองเพิ่มเติมจากเงินสกุลดอลลาร์ โดยธนาคารกลางเหล่านั้น ได้เข้าซื้อทองคำเพิ่มขึ้นเป็น 588.4 ตันเมื่อปีก่อน ซึ่งนับว่ามากเป็นอันดับ 2 รองจากจำนวนที่ซื้อมากเป็นประวัติการณ์เมื่อปี2556 โดยมีปริมาณการซื้ออยู่ที่ 625.5 ตัน
สำหรับการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางต่างๆในไตรมาส4ปี 2558 มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 25%จากปีก่อน โดยพบว่า ธนาคารกลางของรัสเซียเข้าซื้อทองคำมากที่สุด และซื้อเพิ่มประมาณ 60 ตัน หากรวมทั้งปีเท่ากับมีปริมาณการซื้อประมาณ 200 ตัน ซึ่งเป็นการเข้าซื้อระหว่างเดือนก.ค.-ก.ย.2558 มีปริมาณรวม 141 ตัน
ราคาทองในประเทศวิ่งแรง
ส่วนสถานการณ์ราคาทองคำในประเทศไทย มีทิศทางที่สอดคล้องกัน โดยราคาทองปรับตัวขึ้นอย่างคึกคัก โดยราคาเพิ่มขึ้นประมาณ 400 บาทต่อบาททองคำช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จากราคา 20,150 บาทต่อบาททองคำ เป็น 20,550 บาทต่อบาททองคำ ขณะที่ราคาทองคำปรับขึ้นไปแตะที่ระดับ 20,700 บาท หรือปรับขึ้นไปถึง 550 บาท
ผู้ค้าทองไทยแนะเกาะติดนโยบายการเงิน
ด้าน บุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ออสสิริส จำกัด ผู้ค้าทองรายใหญ่ของไทยให้ความเห็นว่า ราคาทองคำเพิ่มขึ้นทะลุ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และสามารถรักษาระดับอยู่ได้ ที่ผ่านมาระดับ 1,200 ดอลลาร์ ถือเป็นแนวต้านที่สำคัญ แสดงให้เห็นถึงเงินลงทุนที่ไหลเข้ามาในทองคำอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ราคาทองคำในประเทศ ตั้งแต่ปรับตัวขึ้นจากระดับ 18,400 บาทต่อบาททองคำ เป็นเกือบ 21,000 บาทต่อบาททองคำหรือเพิ่มขึ้น 1,600 บาทต่อบาททองคำ ส่งผลให้เป็นโอกาสของนักลงทุนที่นิยมเก็งกำไรจากราคาทองนำทองออกมาขายอย่างคึกคัก
ทั้งนี้ นักลงทุนไทยที่เคยซื้อทองไว้ตั้งแต่ระดับ 20,000 บาท ก่อนหน้านี้ ก็จะนำออกมาขาย อย่างไรก็ตาม แนวโน้มราคาทองคำในระยะสั้นเชื่อว่า มีโอกาสจะไปทดสอบที่ราคา 21,500 บาทต่อบาททองคำ เทียบจากค่าเงินสกุลบาทที่ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์
“ราคาทองที่พุ่งขึ้นมารอบนี้ค่อนข้างน่าแปลกใจ เพราะส่วนตัวไม่ได้คาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นได้เร็วขนาดนี้ แต่ก็เป็นโอกาสที่นักลงทุนสามารถเก็งกำไรได้”
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มราคาทองคำจากนี้ไป หากพิจารณาสถานการณ์ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึง 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ หากเป็นเช่นนั้น แสดงว่าราคาทองคำเข้าสู่วงจรขาขึ้นอีกครั้ง แต่หากราคาหลุดลงไปต่ำกว่า 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แนวโน้มราคาทองคำจะกลับเป็นขาลงอีกครั้ง โดยปัจจัยสำคัญที่จะต้องติดตามคือนโยบายการคลังของแต่ละประเทศ ซึ่งหากโดยภาพรวมแล้วยังคงมีการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินต่อเนื่อง เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ
โบรกทองชี้ราคาทองคำขาขึ้นได้1-2ปี
บริษัท วายแอลจี พรีเชียส จำกัด ระบุว่า บรรยากาศการซื้อขายทองคำตอนนี้ค่อนข้างคึกคัก แต่จะเป็นการนำทองออกมาขายทำกำไรมากกว่า เพราะราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 2,000 บาทต่อบาททองคำ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้เป็นจังหวะของการขายทำกำไร
สำหรับแนวโน้มต่อจากนี้ไป มองว่า ระยะสั้นราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง และขึ้นไปทดสอบระดับ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ปัจจัยบวกสำคัญอย่างหนึ่งคือ กองทุนทองคำเอสพีดีอาร์ ซึ่งเป็นกองทุนทองคำรายใหญ่ระดับโลกกลับมาเป็นผู้ซื้อทองคำอีกครั้ง โดยช่วงเดือนที่ผ่านมากองทุนดังกล่าว ซื้อทองคำไปปริมาณเพิ่มขึ้น 13 ตัน โดยปกติแล้วกองทุนเอสพีดีอาร์จะหวังกำไรราว 30-40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในการลงทุนแต่ละครั้ง
“จะเห็นว่ากองทุนเอสพีดีอาร์กลับมาซื้อทองคำต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างแรง ส่วนแนวโน้มระยะยาวนั้น มองว่าราคาทองคำมีโอกาสกลับมาเป็นขาขึ้นได้ในช่วง 1-2 ปีนี้ ซึ่งหากราคาทะลุ 1,300 ดอลลาร์ไปได้ เชื่อว่ามีโอกาสจะกลับไปหาจุดสูงสุดเดิมที่ระดับ 1,700 – 1,900 ดอลลาร์”
ด้านราคาทองคำในประเทศนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ระดับเกือบ 21,000 บาทต่อบาททองคำ เชื่อว่าในระยะสั้นมีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 22,000 บาทต่อบาททองคำ
อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทประกอบด้วย เพราะโดยปกติแล้วการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทราว 0.01 บาท จะกระทบราคาทองคำ 30 บาทต่อบาททองคำ หากต่อจากนี้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง ก็จะเป็นผลบวกต่อราคาทองคำต่อไป
สำหรับบริษัทเอ็มทีเอส โกลด์ ประเมินว่า ทิศทางราคาทองคำพุ่งทะยานขึ้นอย่างรุนแรงในรอบกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรวดเร็ว หลังจากถ้อยแถลงของประธานเฟดต่อวุฒิสภาสหรัฐฯ ยังคงแสดงความคิดเห็นเชิงกังวลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และมีท่าทีระมัดระวังมากขึ้นในการตอบคำถาม
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า เฟดน่าจะไม่สามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ในปีนี้จากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ราคาทองคำทะลุ 1,200 ดอลลาร์ และไปทำจุดสูงสุดแถวระดับประมาณ 1,260 ดอลลาร์ ด้านกองทุนเอสพีดีอาร์ มีการเข้าซื้อทองคำมากขึ้นกว่า 13.98 ตัน ปัจจุบันถือครองทองคำเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 716.01 ตัน ซึ่งเป็นการซื้อที่ผลักดันราคามาโดยตลอด
ขณะที่ภาพรวมของประเทศไทย นักลงทุนยังคงเป็นผู้ขายสุทธิค่อนข้างมากเข้ามา โดยที่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ Retail Sales, Core Retail Sales และ Prelim UoM Consumer Sentiment ที่คาดว่าจะออกมาดีขึ้น
นอกจากนี้หากพิจารณาทางเทคนิค การที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดในรอบปี และทะลุแนวต้านสำคัญได้เกือบทั้งหมด โดยที่แนวต้านสำคัญสุดท้ายคือเส้นค่าเฉลี่ยบริเวณ 200 วัน สำหรับนักลงทุนระยะยาวแบบ Weekly Chart บริเวณ 1,257ดอลลาร์ และคาดว่าราคาทองคำจะเคลื่อนตัวในกรอบแคบโดยมีแนวรับสำคัญ 1,225 ดอลลาร์ เป็นระยะสั้น และแนวต้านที่ระดับ 1,255 ดอลลาร์
ด้านค่าเงินบาทเองทรงตัวเหนือ 35.25 บาทต่อดอลลาร์ได้ ท่ามกลางกระแสเงินที่ไหลเข้าสู่พันธบัตรอย่างมาก ด้านราคาทองคำไทยปรับตัวขึ้นทะลุเหนือ 20,000 บาทต่อบาททองคำได้อย่างมั่นคงในขณะนี้ ซึ่งถือว่าแนวรับสำคัญของทองคำจะมีแนวรับสำคัญ 20,000 บาทต่อบาททองคำ และมีแนวต้าน 20,700 บาทต่อบาททองคำ
ทั้งนี้หากพิจารณาการประเมินราคาทองคำของบรรดานักวิเคราะห์ทั้งต่างประเทศและในประเทศ ต่างมีความเห็นที่สอดคล้องกันว่าราคาทองคำน่าจะมีทิศทางขาขึ้น และคงต้องเกาะติดปัจจัยที่มีอิทธิพลทั้งหมดอย่างใกล้ชิด เพื่อการลงทุนทองคำจะได้ไม่เกิดความพลาดพลั้งได้ง่าย