SME อย่าท้อ…ซับน้ำตาแล้วเดินต่อ ตลาดกำลังรออยู่!!
ยามนี้ ได้ยินแต่เสียง SME กำลังจะล้มตาย…ล้มตายเพราะโควิด ล้มตายเพราะเศรษฐกิจพังพินาศ แม้ภาครัฐจะแจกเงิน เพื่อกระตุ้น แต่ ผู้บริโภคก็หมดกำลังซื้อ…
ต้องถือว่าเป็น ข่าวดี…
ข่าวดี สำหรับผู้ประกอบการ เมื่อผลสำรวจของ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มีความเห็นตรงกันว่า ตลาดประเทศจีน อินเดีย และบาห์เรน จะมีความสำคัญต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในอนาคต
ที่เป็นเช่นนั้น ก็เนื่องจาก ประเทศจีน เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ขอย้ำ ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงขึ้นเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ ประเทศจีน ยังเป็นประเทศที่มีการฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 ได้รวดเร็วที่สุด ทำให้ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าการเติบโตของจีดีพีของจีนจะสูงถึง 8.5% ต่อปีในปี 2564
ซึ่งแน่นอนว่า การฟื้นตัวดังกล่าวส่งผลให้ยอดการส่งออกของไทยไปจีนในรอบครึ่งปีแรก (มกราคม – มิถุนายน 2564) มีมูลค่ากว่า 600,000 ล้านบาท หรือ ขยายตัวสูงถึง 24.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
รวมทั้งยังมีโอกาสขยายการค้าได้อีกมากโดยเฉพาะในกลุ่มของ ผลไม้ พืชผัก ผลิตภัณฑ์ยางไปจนถึงเครื่องจักรต่าง ๆ
และที่น่าสนใจยิ่ง คือ การเปิดเส้นทางรถไฟความเร็วสูง จากเมือง “คุนหมิง” ในภาคจีนตอนใต้ มาถึงเมือง “เวียนจันทร์” สปป.ลาว ที่กำลังจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ในเดือนธันวาคมปี 2564
จะสามารถเพิ่มยอดการส่งออกสินค้าจากไทยไปจีนได้อีกมาก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตร
นั่นเป็นเพราะว่า เส้นทางรถไฟสายนี้ที่เมืองเวียงจันทน์อยู่ใกล้กับชายแดนไทยจังหวัดหนองคาย สามารถช่วยย่นระยะเวลาการขนส่งินค้าไปยังจีนตอนใต้ เหลือเพียง 1 วัน และลดค่าขนส่งได้มากกว่า 5 เท่าตัว ซึ่งจะเปิดโอกาสการส่งออกของเอสเอ็มอีไทยได้อีกมหาศาล
เช่นเดียวกับ ประเทศอินเดีย ก็เป็นตลาดที่มีอนาคตสูงของไทย เพราะมีประชากรกว่า 1,300ล้านคน และได้รับการคาดหมายว่าในปี 2050 จะกลายเป็นประเทศที่มี GDP สูงกว่า สหรัฐอเมริกา
และในปัจจุบันอินเดียยังเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 10 ของไทย เพราะแค่ครึ่งปีแรก (มกราคม – มิถุนายน 2564)ไทยส่งออกสินค้าไปอินเดีย มีมูลค่ากว่า 126,000 ล้านบาท ซึ่งขยายตัวสูงถึง 54.8%
นายวีระพงศ์ มาลัย ผอ. สสว.บอกว่า ศักยภาพทางเศรษฐกิจของอินเดีย ทำให้ถูกมองว่าในอนาคตจะเป็นตลาดส่งออกใหม่ของไทย ที่จะมีความสำคัญเทียบเท่าจีน
เนื่องจากปัจุบันสินค้าส่งออกของไทยไปอินเดียยังมีปริมาณน้อย เพราะผู้ส่งออกยังไม่คุ้นเคย ฉะนั้นจึงเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการจะเข้าไปเจาะตลาดได้อีกมาก และ อินเดียก็ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูง ทำให้มีความต้องการสินค้าเพิ่มมากขึ้น
และแนวโน้มสินค้าส่งออกที่มีแววสดใส คือ อัญมณีและเครื่องประดับ เคมีภัณฑ์และอินทรีย์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก เครื่องสำอาง สบู่ ผลิตภัณฑ์รักษาผิว และอุปกรณ์ทางการแพทย์
นอกจากนี้ อินเดีย ยังมีหลายรัฐทำให้มีความต้องการในการบริโภคที่หลากหลาย และยังเป็นประตูในการส่งออกสินค้าจากไทยไปสู่ประเทศข้างเคียง เช่น ศรีลังกา มัลดีฟส์
รวมทั้งไทยยังมีข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศอินเดีย ทำให้มีความได้เปรียบเหนือกว่าประเทศอื่น และที่สำคัญคนอินเดียมีทัศนคติที่ดีต่อสินค้าไทย สินค้าไทยถูกจัดเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง และสามารถเข้าถึงได้
ส่วน ประเทศบาห์เรน ก็นับว่าเป็นตลาดที่สำคัญของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลาง เพราะเป็นประเทศที่ประชาชนมีกำลังซื้อในระดับสูงเช่นกัน เนื่องจากเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ประเทศหนึ่ง
ที่สำคัญไทยยังมีข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-บาห์เรน ทำให้สินค้าไทยเสียภาษีในระดับต่ำ สร้างความได้เปรียบมากกว่าประเทศคู่แข่ง และทำให้ผู้ประกอบการชาวไทยสามารถเข้าไปทำตลาดได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่ม อาหาร สุขภาพ และความงาม ที่ถือได้ว่ามีความต้องการอยู่ในระดับสูง
และ บาห์เรน ยังสามารถ เป็นประตูการค้าและการลงทุนให้กับไทยไปตะวันออกกลางอีกด้วย
โดยเฉพาะประเทศในคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council:GCC) ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย , สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ , กาตาร์ , คูเวต , โอมาน และบาห์เรน รวมถึงแอฟริกาตอนเหนือ เอเชียใต้ และเอเชียกลาง
ฉะนั้นโอกาสทางการค้าไทย สู่ตลาด จีน อินเดีย และบาห์เรน จึงมีความเป็นไปได้สูง ช่องทางการเปิดตลาดใหม่ๆเหล่านี้ จะสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ผ่านพ้นวิกฤตทางการค้า ในยามนี้…
ความหวังจะเป็นจริง มิใช่จะมีแต่ภาคเอกชนเท่านั้นจะออกแรง สำคัญอยู่ที่ ภาครัฐ จะต้องออกแรงผลักดันเป็นเท่าทวีคูณเช่นกัน?!