สวีเดนยอมรับดูแลผู้สูงวัยไม่ดี
สต็อกโฮล์ม : สวีเดน ซึ่งมีมาตรการรับมือโควิด-19 แบบไม่เข้มงวดสวนกระแสกับประเทศอื่นๆทั่วโลก ยอมรับว่าล้มเหลวไม่สามารถการปกป้องผู้สูงอายุได้ดีพอ โดยผู้เสียชีวิตจากโควิด -19 ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในสถานดูแลผู้สูงอายุ
โดยสื่อของสวีเดนพากันรายงานกันอย่างแพร่หลายในช่วงไม่กี่สัปดาห์นี้ว่าเจ้าหน้าที่ในสถานดูแลผู้สูงอายุยังคงต้องทำงานอยู่แม้จะขาดแคลนชุดป้องกันตัวเอง
ขณะที่มีหลายคนปฏิเสธที่จะทำงาน หลายคนขออยู่บ้านแม้จะมีอาการของโรคไม่มาก และทำให้ขาดแคลนคนทำงาน เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ยอมที่จะไปทำงานแม้จะแสดงอาการของโรค ทำให้มีโอกาสสูงที่จะติดเชื้อ ขณะที่ผู้สูงวัยติดเชื้อจากการเข้าโรงพยาบาลไปรักษาโรคอื่นๆ และถูกส่งกลับเนิร์สซิงโฮมที่ซึ่งพวกเขาจะแพร่เชื้อต่อโดยไม่รู้ตัว
จนถึงวันที่ 9 พ.ค. สวีเดนรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิต 3,220 รายจากไวรัสโควิด-19 โดยมีรายงานก่อนหน้านี้ว่า กลุ่มผู้เสียชีวิตมากที่สุดคือ ผู้ที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป คิดเป็นประมาณ 90% โดยครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตอาศัยอยู่ในเนิร์สซิงโฮม และอีก 25% ได้รับการดูแลอยู่ที่บ้าน จากสถิติของบอร์ดคณะกรรมการสุขภาพและสวัสดิการของสวีเดน
“ เราล้มเหลวในการปกป้องผู้สูงวัย นี่เป็นเรื่องร้ายแรงจริงๆ เป็นความล้มเหลวของสังคมโดยรวม เราต้องเรียนรู้จากเรื่องนี้ เรายังจัดการคุมการระบาดไม่ได้” ลีนา ฮัลเลนเกรน รมว.สาธารณสุขและกิจการสังคมกล่าวกับสถานีโทรทัศน์
นโยบายของสวีเดนต่างจากประเทศอื่นในยุโรป ด้วยการเปิดทั้งโรงเรียน บาร์ และร้านอาหาร ขณะที่ขอให้ประชาชนเคารพมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม และคำแนะนำด้านสุขนามัย
อย่างไรก็ตาม มีคำสั่งห้ามไม่ให้มีการไปเยือนสถานดูแลผู้สูงอายุตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.
สวีเดนไม่เหมือนกับประเทศอื่นในยุโรป คือเนิร์สซิงโฮมจะมีขนาดใหญ่ และมีผู้สูงอายุอาศัยอยู่หลายร้อยคน
ข้อมูลของ Henrik Lysell จากบอร์ดคณะกรรมการสุขภาพและสวัสดิการของสวีเดนชี้ว่า พวกเขามีสุขภาพไม่ดี ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ และเป็นกลุ่มที่อ่อนแอที่สุด
Bjorn Branngard กล่าวกับสื่อ AFP ว่า เจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลแม่ของเขาในเนิร์สซิงโฮมไม่มีชุดป้องกันที่ถูกต้อง
“ ไม่มีการป้องกัน เจ้าหน้าที่เดินไปมา และแพร่เชื้อไวรัส ”
ขณะที่ในกรุงสต็อกโฮล์ม ศูนย์กลางการระบาดของโควิด -19 ในสวีเดน ประมาณ 55% ของเนิร์สซิงโฮมเหล่านี้มีผู้ติดเชื้อ จากข้อมูลของสาธารณสุขสต็อกโฮล์ม
Kommunal สหภาพพนักงานเทศบาลที่ใหญ่ที่สุดในสวีเดน ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ดูแลด้วย กล่าวโทษสภาพการทำงานที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครรู้
โดยสหภาพระบุว่า ในเดือนมี.ค. ประมาณ 40% ของพนักงานในสถานดูแลที่กรุงสต็อกโฮล์มไม่มีทักษะ และมีการจ้างงานเป็นสัญญาระยะสั้น คือคิดค่าจ้างเป็นชม.และไม่มีประกันสังคม ขณะที่ 23% เป็นพนักงานชั่วคราว
“ มีคนที่แตกต่างกันจำนวนมากที่ทำงานในเนิร์สซิงโฮม และทำให้เกิดการแพร่ระบาดมากขึ้น” Ulf Bjerregaard หัวหน้าฝ่ายเนิร์สซิงโฮมของ Kommunal ระบุ
ผู้ลี้ภัยวัย 21 ปีคนหนึ่ง ซึ่งใช้นามแฝงว่าอับดุลเลาะห์ ทำงานเป็นผู้ช่วยในสถานดูแลนอกกรุงสต็อกโฮล์มนานสองปีกล่าวให้สัมภาษณ์สื่อ AFP เกี่ยวกับผู้สูงวัยที่ไปโรงพยาบาลเพราะขาหัก
“เธอตรวจว่าไม่ติดเชื้อไวรัสตอนที่อยู่กับเรา แต่เมื่อกลับจากโรงพยาบาลในอีก 3 วันถัดมา เธอก็ติดเชื้อแล้ว ”
“ เรามีผ้ากันเปื้อนป้องกัน แต่ไม่มีหน้ากาก ตอนที่ทำงานกับเธอ” เขากล่าว โดยเสริมว่าตั้งแต่นั้น เขาก็ปฏิเสธไม่ไปทำงานอีก
ทั้งนี้ หน่วยงานสาธารณสุขระบุว่า ความพยายามที่จะปรับปรุงสุขอนามัยพื้นฐานในบ้านเริ่มเห็นผล
“ สต็อกโฮล์มมีผู้ติดเชื้อไวรัสในเนิร์สซิงโฮมลดลงอย่างชัดเจน” Andres Tegnell นักระบาดวิทยากล่าวกับสื่อเมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา