เฟดจ่อลดดอกเบี้ยครั้งแรกตั้งแต่ปี ‘51
คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษในวันที่ 31 ก.ค. เป็นความเคลื่อนไหวจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลก
รายงานการจ้างงานในวันที่ 26 ก.ค.แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีการจ้างงานที่ไม่ใช่เกษตรกรรมเพิ่มขึ้น 170,000 อัตรา และมีตัวเลขการว่างงานที่ต่ำมากคือ 3.7% จากข้อมูลของ Refinitiv ซึ่งเป็นข้อมูลตามหลังจากรายงานตัวเลข GDP ในไตรมาส 2 ซึ่งเติบโตเกินคาดการณ์อยู่ที่ 2.1% แต่แสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่ชัดเจนของผลกระทบจากภาษีและความขัดแย้งทางการค้าของสองประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นอยู่ในแดนบวกในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดัชนี S&P500 และ Nasdaq ทำสถิตินิวไฮ เนื่องจากนักลงทุนเตรียมพร้อมรับการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด
โดย 75% ของบริษัทมีตัวเลขดีเกินกว่าที่ประเมินไว้ และ 60% มีรายได้สูงเกินคาดการณ์ ซึ่งแน่นอนว่านักกลยุทธ์กำลังรอคอยให้เฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลงในอนาคต
ผลจากสงครามการค้าและมาตรการภาษีส่งผลให้การลงทุนในประเทศของภาคเอกชนลดลงในไตรมาส 2 และส่งผลต่อการเติบโตของ GDP ถึง 5.5% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2558 โดยการส่งออกลดลง 5.2% การลงทุนทางธุรกิจที่ซบเซาลงกวาดตัวเลข GDP ให้ลดลง
ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ข้อมูลเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณการปรับปรุงขึ้นในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ โดยการบริโภค ซึ่งคิดเป็น 70% ของเศรษฐกิจ แข็งแกร่งขึ้นในไตรมาส 2 ด้วยตัวเลขเติบโตของการบริโภคอยู่ที่ 4.3% นับเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2560 เป็นต้นมา
สตีเฟน สแตนลีย์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ Amherst Pierpoint ระบุว่า เขาคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวแล้วหยุด
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างจับตามองข่าวพาดหัวเรื่องการค้าในสัปดาห์หน้า เนื่องจากคณะผู้แทนในการเจรจาการค้าของสหรัฐฯเดินทางไปนครเซี่ยงไฮ้ของจีนเพื่อพูดคยกันอีกครั้งกับผู้แทนการค้าของจีน นับเป็นการเจรจารอบใหม่ตั้งแต่เดือนพ.ค.