ทำเนียบขาวป้องนโยบายศก.ทรัมป์
เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ทำเนียบขาวทำนายว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะเติบโตในอัตรา 3% นานถึง 11 ปี โดยมีการคาดการณ์ว่า สภาจะมีมติเห็นชอบกับนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจสหรัฐฯ (CEA) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้คำปรึกษาประธานาธิบดี ระบุในรายงานเศรษฐกิจที่เพิ่งตีพิมพ์ล่าสุดว่า ทางสภาคาดการณ์ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
หรือ GDP ว่า “ จะเติบโตในอัตราเฉลี่ย 3.0% ในระยะเวลา 11 ปี ระหว่างปี 2561 – 2572 ”
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การคาดการณ์เป็นจริง ทำเนียบขาวซึ่งเป็นตัวแทนจากพรรครีพับลิกันจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรสเพื่อผลักดันนโยบายการลดภาษี การยกเครื่องโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ การผ่อนคลายความเข้มงวดในการทำธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีระเบียบที่เข้มงวดขึ้นกับคนในวัยทำงานซึ่งได้ประโยชน์จากโครงการความช่วยเหลือของรัฐ ท่ามกลางนโยบายอื่นๆ
Tylor Goodspeed ซึ่งทำหน้าที่ใน CEA กล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อในระหว่างการประชุมทางไกลในเช้าวันที่ 19 มี.ค.ว่า การเติบโตของ GDP สหรัฐฯในปี 2560 – 2561 ซึ่งต่ำกว่าที่เคยเป็น ก่อนมีกฎหมายลดภาษีนิติบุคคลและสร้างงาน ซึ่งกลายเป็นกฎหมายในสิ้นปี 2560 โดยกฎหมายที่พรรครีพับลิกันเสนอถือเป็นการปฎิรูปภาษีในรอบสามทศวรรษของสหรัฐฯ
อ้างอิงจากการเสนองบประมาณในปีงบประมาณ 2563 ที่ประธานาธิบดีทรัมป์เสนอต่อสภาคองเกรสเมื่อสัปดาห์ก่อน รัฐบาลมีแผนจะขยายเวลาการลดภาษีและทำให้เป็นการคงอยู่อย่างถาวร
เป็นความพยายามที่คาดการณ์ว่าจะเผชิญกับการต่อสู้ในรัฐสภา โดยเฉพาะในสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมาก ซึ่งกล่าวโทษว่านโยบายการลดภาษีของทรัมป์ทำให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณ
โดยตัวเลขขาดดุลปีงบประมาณ 2563 อยู่ที่ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 62 – 30 ก.ย. 63
หนทางสู่กฎหมายโครงสร้างพื้นฐานในสภาคองเกรส ซึ่งเป็นอีกสถานการณ์ที่น่าข้องใจจาก CEA ไม่ได้การันตีอะไรเลย รายงานอ้างว่าสภาคองเกรสจะผ่านร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐาน “ ที่เริ่มต้นในปี 62 และจะมีผลกระทบที่มองเห็นได้ชัดเจนในปี 63 ”
แม้จะมีมติเห็นชอบที่เป็นกลางไม่เข้าข้างพรรคใด เกี่ยวกับความจำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ ทั้งสองพรรคคือรีพับลิกันและเดโมแครตก็ยังคงมีความเห็นต่างกัน เมื่อระบุถึงแผนที่มีความเจาะจง
อ้างอิงจากมาตรการภาษีศุลกากรที่รัฐบาลทรัมป์จัดเก็บกับสินค้านำเข้าทั่วโลกในปีที่แล้ว รายงานระบุว่าทำให้ชาวอเมริกันต้องจ่ายภาษีเพิ่มโดยเฉลี่ย 1.1% จากเดิม 1.5% ในเดือนม.ค.61 เป็น 2.6% ในเดือนพ.ย.61
ทั้งนี้ รายงานระบุว่า แม้รัฐบาลกลางจะได้ประโยชน์มีรายได้ 14,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการจัดเก็บภาษีได้เพิ่มเติม แต่การใช้จ่ายของผู้บริโภคในรูปแบบราคาที่สูงขึ้น และการลดการบริโภคกลับล้ำหน้าตัวเลขที่ได้ประโยชน์เสียอีก