ฮ่องกงขึ้นแท่นรวมพลมหาเศรษฐีมากสุดในโลก
นครนิวยอร์กในสหรัฐฯ ไม่ใชเมืองที่มีจำนวนมหาเศรษฐีอาศัยอยู่มากที่สุดในโลกอีกต่อไปแล้ว
โดยฮ่องกงแซงสหรัฐฯ ขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งสำหรับกลุ่มมหาเศรษฐีที่จะมาใช้ชีวิตอยู่มากที่สุดในปีที่แล้ว อ้างอิงจากผลการศึกษาที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 ก.ย.จากบริษัทวิจัย Wealth -X โดยกลุ่มอภิมหาเศรษฐี (UHNWIs) ที่อาศัยในฮ่องกงเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ใน 3 ในปี 2560 จนถึงระดับ 10,000 คน อ้างอิงจากผลการศึกษา
ผลการศึกษาระบุว่า การเพิ่มจำนวนขึ้นของมหาเศรษฐีในฮ่องกงได้อานิสงส์จากตลาดหุ้นที่กำลังบูมและโครงข่ายด้านการเงินที่เติบโตขึ้นเชื่อมโยงกับบริษัทจีนเป็นวงกว้าง
โดยนิวยอร์กรั้งอันดับ 1 มาตั้งแต่บริษัท Wealth-X ทำการจัดอันดับมาตั้งแต่ปี 2554
ทั้งนี้ จีนที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจรวดเร็วในหลายทศวรรษที่ผ่านมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้จำนวนมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นในภูมิภาค
ในบรรดามหาเศรษฐีในฮ่องกง คนที่ร่ำรวยที่สุดคือลีกาชิง ซึ่งเป็นเจ้าของอาณาจักรธุรกิจ Cheung Kong (CKHUY) ที่มีการลงทุนครอบคลุมทั้งท่าเรือ โครงข่ายโทรคมนาคมและบริษัทพลังงานทั่วโลก
อย่างไรก็ดี ไม่มีเมืองอื่นในจีนแผ่นดินใหญ่ที่ติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของเมืองที่มีมหาเศรษฐีอาศัยอยู่มากที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของ Wealth-X รายงานระบุว่า เป็นเพราะความร่ำรวยของชาวจีนไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เดียว แต่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
ปัจจุบัน บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของจีนคือมหาเศรษฐีโพนี หม่า เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ Tencent ผู้ให้บริการแอปพลิเคชั่นยอดฮิตอย่าง WeChat และแจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งอีคอมเมิร์ซชื่อดัง-อาลีบาบา
โดยรวมแล้ว สหรัฐฯยังคงเป็นประเทศที่มีจำนวนอภิมหาเศรษฐีอาศัยอยู่มากที่สุดคือเกือบ 1 ใน 3 ของโลก แต่เอเชีย โดยเฉพาะจีนกำลังไล่ตามมา ด้วยจำนวนมหาเศรษฐีที่เพิ่มขึ้นถึง 20% ชาวเอเชียที่ร่ำรวยมากขึ้นได้แรงหนุนสำคัญจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่มากขึ้น การลงทุนเพิ่มขึ้นในโครงสร้างพื้นฐานและการปฏิรูปเศรษฐกิจ และอีกหลายปัจจัย Wealth-X ระบุ
“ คาดการณ์ว่าเอเชีย – แปซิฟิกจะมีจำนวนมหาเศรษฐีไล่ตามทันภูมิภาคอื่นได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า ” รายงานเสริม
ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ภูมิภาคนี้มีจำนวนคนที่มีทรัพย์สิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯสูงกว่าที่อื่น อ้างอิงจากอีกผลการศึกษาโดยบริษัทที่ปรึกษา Capgermini และจากผลการประเมินอีกชิ้นหนึ่ง เฉพาะจีนประเทศเดียวมีจำนวนมหาเศรษฐีมากกว่าสหรัฐฯ
แต่อาจเป็นเรื่องยากขึ้นในปี 2561 เนื่องจากจีนเองเผชิญกับแรงต้านจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ และระดับหนี้ที่สูงมากในระบบการเงิน ตลาดหุ้นจีนเข้าสู่ภาวะขาลงในปีนี้ ขณะที่ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
จำนวนมหาเศรษฐีทั่วโลกเพิ่มขึ้น 13% ในปีที่แล้วกลายเป็นมากกว่า 250,000 คน จำนวนทรัพย์สินของพวกเขารวมกันทั้งหมดอยู่ที่ 31.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากอานิสงส์ของเศรษฐกิจทั่วโลกที่พลิกฟื้นและผลประกอบการที่ดีในตลาดหลักทรัพย์.