ลูอันดาขึ้นแท่นเมืองแพงสุดในโลก
ลูอันดา เมืองหลวงของประเทศแองโกลาในแอฟริกากลับขึ้นมาเป็นเมืองที่แพงที่สุดในโลกสำหรับชาวต่างชาติอีกครั้งและทำให้ฮ่องกงหล่นไปอยู่อันดับ 2
โดยคำกล่าวอ้างนี้เป็นผลจากการสำรวจค่าครองชีพประจำปีที่จัดทำขึ้นเป็นปีที่ 23 โดยบริษัทที่ปรึกษา Mercer ขณะที่โตเกียว ซูริค และสิงคโปร์ อยู่ในอันดับ 3 -5 ตามลำดับ อ้างอิงจจากผลการสำรวจ
ที่ลอนดอนตกลงมาอยู่ในอันดับ 30 บางส่วนมีผลมาจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง และเมืองใหญ่อื่นๆในสหราชอาณาจักรก็ถูกปรับลดลงจากอันดับเดิม
“ เมืองสำคัญในสหราชอาณาจักรตกอันดับลงมาอีกครั้งในปีนี้ เนื่องจากค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงทั้งในช่วงก่อนและหลังการลงประชามติเพื่อออกจากสหภาพยุโรปในฤดูร้อนปีก่อน” Kate Fitzpatrick จาก Mercer กล่าว
“ อย่างไรก็ตาม ลอนดอนไม่ได้ถูดลดอันดับลงมามากอย่างที่คาด ราคาสินค้าที่สูงอยู่ทำให้ลอนดอนยังเป็นหนึ่งในเมืองที่แพงที่สุดในโลกสำหรับชาวต่างชาติ”
“ ค่าเช่าที่พักอาศัยยังคงสูงในระดับโลกและคงที่ หรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปีที่แล้ว เนืองจากการก่อสร้างไม่สามารถตอบรับดีมานด์ที่เพิ่มชึ้น” เธอกล่าว
นอกจากกรุงลอนดอน เมืองอื่นๆของสหราชอาณาจักรที่ติดอันดับเมืองแพงสุดคือ อาเบอร์ดีน (146) เบอร์มิงแฮม (147) กลาสโกว์ (161) และเบลฟาสท์ ( 170)
ผลสำรวจประจำปีเจาะลึกในค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกจากค่าเช่าอพาร์ทเมนท์ และบ้านสำหรับชาวต่างชาติโดยได้ตรวจสอบค่าใช้จ่าย 200 รายการในแต่ละเมืองทั้งที่อยู่อาศัย การคมนาคม เสื้อผ้า อาหาร และบันเทิง
ทั้งนี้ มีการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายอย่างละเอียดในการซื้อตั๋วชมภาพยนตร์ 1 ใบ กางเกงยีนส์ 1 ตัว น้ำดื่ม 1 ลิตร กาแฟ 1 แก้ว น้ำมัน 1 ลิตร นม 1 ลิตร ขนมปัง และเบียร์
โดยเมืองลูอันดา ซึ่งติดอันดับสูงบ่อยครั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายในการหาที่อยู่ที่ปลอดภัยสำหรับชาวต่างชาติ และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ตัวอย่างเช่น ค่าเช่าบ้าน 3 ห้องนอนที่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ระดับมาตรฐานสากลในละแวกเพื่อนบ้านที่ดี ราคาจะพุ่งไปอยู่ที่ 13,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน
จากผลการสำรวจ เมืองราคาแพงส่วนใหญ่อยู่ในเอเชียและยุโรป โดยอันดับ 6 -10 คือกรุงโซล เจนีวา เซี่ยงไฮ้ นิวยอร์ก และเบิร์น
โดย Mercer ใช้นครนิวยอร์กเป็นหลักเกณฑ์ในการเปรียบทียบค่าครองชีพกับเมืองอื่น และเปรียบเทียบเป็นหน่วยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
“ โดยภาพรวม เมืองในสหรัฐฯ ยังคงมีเสถียรภาพในอันดับเดิม หรือขยับขึ้นเล็กน้อยจากความเปลี่ยนแปลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกับค่าเงินสำคัญอืนๆทั่วโลก”.