สรรพากรคลอดภาษี”e-Business”เดือนนี้
อธิบดีกรมสรรพากรยันเสนอภาษีประกอบธุรกรรมอิเล็กทรอนิสก์ หรือ e-Business ให้ รมว.คลังพิจารณาภายในเดือนมี.ค.นี้ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศ
“หลังจากได้เปิดรับฟังความคิดเห็นการแก้ไขกฎหมายประมวลรัษฎากรการจัดเก็บภาษีจากผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็ก ทรอ นิกส์ (e-Business) เสร็จเรียบร้อยแล้ว กรมสรรพากรคาดว่าจะเสนอราย ละเอียดให้กระทรวงการคลังพิจารณา ก่อนนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบได้ภายในเดือน มี.ค.2561” นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวและกล่าวต่อว่า
การเปิดรับฟังความคิดเห็นในรอบที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นการแสดงความคิดเห็นจากผู้ประกอบการในต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งกรมสรรพากรสามารถตอบข้อสงสัยหรือโต้แย้งต่าง ๆ ได้อย่างเรียบร้อยและไม่น่ามีปัญหา
สำหรับสาระสำคัญเบื้องต้นของกฎหมาย กำหนดให้นิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ประกอบกิจการโดยการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์มีรายได้ และมีกำไร โดยใช้โดเมน เนม (domain name) ท้องถิ่นของไทย หรือมีการสร้างระบบการชำระเงินเป็นสกุลเงินไทย หรือมีการโอนเงินจากประเทศไทย ถือว่า นิติบุคคลนี้ประกอบกิจการในประเทศไทยและให้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในประเทศไทยหัก ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% และนำส่งกรมสรรพากร
รวมทั้งกำหนดให้ผู้ประกอบการ e-Business หากมีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) และยังกำหนดให้เก็บภาษีแวตสำหรับสินค้าที่มีการนำเข้าทางไปรษณีย์ จากเดิมยกเว้นภาษีแวต กรณีราคาสินค้าต่ำกว่า 1,500 บาท เนื่องจากในปัจจุบันมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
“กฎหมายดังกล่าว จะเป็นการสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการภายในประเทศสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการจากต่างประเทศได้” อธิบดีกรมสรรพากร กล่าว
สำหรับความคืบหน้าการยื่นแบบรายการแสดงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจำปี 2560 ที่เปิดให้ยื่นแบบตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ถึง 31 มี.ค.2561 มีผู้เสียภาษีเริ่มทยอยยื่นแบบฟอร์มการภาษีแล้วประมาณ 3.3 ล้านราย ต่ำกว่าปีก่อนที่มีผู้ยื่นภาษีทั้งสิ้น 4 ล้านราย ส่วนใหญ่ยังมีการยื่นแบบล่าช้า เนื่องจากยังรอเอกสารประกันสุขภาพ เป็นต้น โดยในส่วนนี้แบ่งเป็นการยื่นภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ประมาณ 90% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 84%
ขณะที่ คาดว่ายอดการขอคืนภาษีในปีนี้ จะอยู่ที่ประมาณ 40,000 ล้านบาท โดยล่าสุด กรมสรรพากรได้คืนภาษีไปแล้ว 900,000 ราย ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตและพร้อมเพย์ประมาณ 90% คิดเป็นวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า “การคืนภาษีปีนี้ ไม่มีความล่าช้า หากมีการตรวจสอบด้านเอกสารครบถ้วน ซึ่งขณะนี้มีเพียงผู้ยื่นขอคืนภาษีและมีปัญหาเพียง 10% โดยจะต้องมีการส่งเอกสารเพิ่มเติม”.