กกร.ห่วงเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ยังหดตัว

กกร. มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาส4ยังหดตัวต่อเนื่อง หลังเศรษฐกิจโลกเริ่มเสีย momentum การฟื้นตัวจากโควิดระบาดระลอก 2 ยอมรับห่วงการชุมนุมวันที่ 19 หากยืดเยื้อกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน

เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีหรือไตรมาส 4 ยังน่าเป็นห่วง โดยนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือกกร. ยอมรับว่า แม้ข้อมูลล่าสุดเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยในเดือน ก.ค.63 หดตัวน้อยลง ต่อเนื่องจากเดือน มิ.ย. ภาคครัวเรือนมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยวในประเทศช่วงวันหยุดยาว รวมถึงการคลายล็อกกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ แต่โดยรวมเศรษฐกิจยังอ่อนแออยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุน นอกจากนี้ สถานการณ์ตลาดแรงงานน่าเป็นห่วง โดยมีผู้ว่างงานทั้งหมดแล้วกว่า 7 แสนคน ณ สิ้นไตรมาส 2/63 และยังมีผู้มีงานประจำแต่ปัจจุบันไม่ได้ทำงานอีกกว่า 2.5 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านคนเมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 62
ทำให้ในช่วงที่เหลือของปี 63 เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง โดยต้องเผชิญกับเศรษฐกิจโลกที่เริ่มเสีย momentum การฟื้นตัว หลังจากที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกสองในหลายประเทศที่เป็นคู่ค้าสำคัญ เช่น กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เป็นตัน ทำให้แรงขับเคลื่อนของการฟื้นตัวเหลือแค่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน เป็นหลัก จึงต้องติดตามว่าทั้งสองประเทศนี้จะสามารถควบคุมสถานการณ์ไม่ให้มีการระบาดรุนแรงได้มากน้อยแค่ไหน ส่วนการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติยังมีอุปสรรคอยู่มาก
ส่วนทิศทางของค่าเงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าหลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับยุทธศาสตร์นโยบายการเงินเมื่อวันที่ 27 ส.ค.63 เฟดประกาศปรับยุทธศาสตร์นโยบายการเงิน ส่งผลให้ดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลง เป็นความเสี่ยงให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า นอกจากนี้ ในช่วงที่เหลือของปีค่าเงินบาทยังมีแรงหนุนแข็งค่าจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังจะมีการเกินดุลต่อเนื่องและจะเกินดุลเพิ่ม หากมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับเข้ามาผ่านมาตรการ Travel Bubble อย่างไรก็ดี ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนมีโอกาสผันผวนมากขึ้นจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ การเปิดรับความเสี่ยงของนักลงทุน (Risk-On sentiment) ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ไม่อิงกับปัจจัยพื้นฐาน และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ทั้งนี้กกร.ยังคงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้อาจหดตัวในกรอบ –7.0 ถึง-9.0% การส่งออกหดตัวในกรอบ -10.0 ถึง -12.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าอยู่ในกรอบ -1.5 ถึง -1.0%
ส่วนสถานการณ์ทางการเมือง นายสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ยอมรับว่า ห่วงการชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย.นี้ ซึ่งต้องการให้ทกฝ่ายรับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้หากการชุมนุมยืดเยื้อก็อาจกระทบความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ
การประชุมกกร.ในวันนี้ยังให้ความสำคัญกับการปรับปรุงกฎหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดขั้นตอนการทำงานของภาครัฐ เพื่อให้เกิดการอำนวยความสะดวกให้มากขึ้น โดยนำผลการศึกษาของคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ปยป.) และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) นำไปปฏิบัติในการปรับปรุงกฎหมายให้เกิดขึ้นได้จริง โดยจะกำหนดเป้าหมายในการติดตามเรื่องดังกล่าวกับทางภาครัฐ โดยจะนำผลการศึกษาที่ทำงานร่วมกันผ่านหลายคณะทำงาน เพื่อนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี
ด้านประเด็นการค้ำประกันเงินกู้ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME จากการปล่อยกู้ตามวงเงินกู้ซอฟท์โลน 5 แสนล้านของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นั้น กกร.จะได้มีการศึกษาร่วมกันในการให้ บสย. เข้ามาค้ำประกันเงินกู้เพิ่มเติม โดยเพิ่ม Max Claim จาก 30% ให้มากขึ้นโดยมาอยู่ที่ 50%
นอกจากนี้เรื่องการเบิกจ่ายเงินของโครงการภาครัฐ สำหรับผู้ประกอบการที่รับโครงการจากภาครัฐและได้มีการส่งมอบงานแล้ว กกร. เสนอให้หน่วยงานรัฐเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินของโครงการของภาครัฐภายใน 30 วัน และให้หน่วยงานภาครัฐทุกประเภทสามารถโอนสิทธิการรับเงินให้กับธนาคารได้ด้วย