“โนเบิล” ดันแบรนด์NUEรุกคอนโดฯต่ำ3ลบ.
โนเบิล รุกตลาดคอนโดฯต่ำ 2-3 ล้านบาท เปิด 3 โครงการใหม่ กว่า 5,000 ล้านบาท ตอกย้ำความสำเร็จแบรนด์ NUE บนทำเลศักยภาพติดรถไฟฟ้าทั่วกรุงเทพฯ วางเป้าปีหน้าเพิ่มสัดส่วนลงทุนแตะ 50%
นายธีรพล วรนิธิพงศ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ “NOBLE” เปิดเผยว่า ด้วยภาวะตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางถึงบนค่อนข้างอืด บริษัทจึงปรับกลยุทธ์หันมารุกตลาดแนวใหม่ โดยเบนเข็มมาเพิ่มพอร์ตโครงการคอนโดมิเนียมระดับราคาต่ำกว่า 2-3 ล้านบาทมากขึ้น เนื่องจากยังมีกำลังซื้อ อัตราการดูดซับยังดีอยู่ และยังช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ที่กว้างขึ้น แต่ทั้งนี้ หากภาวะเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ก็จะหันมาพัฒนาโครงการในแนวที่โนเบิลเคยทำมาแล้ว ทุกอย่างต้องรอจังหวะ
“เรามั่นใจว่า เราทำแบรนด์ นิว (NUE) ได้ โดยจะขยายโปรดักส์มาเจาะตลาด 2-3 ล้านบาท เป้าหมายกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งคอนเซ็ปต์ของโครงการ จะตั้งอยู่บนทำเลที่เป็นศูนย์กลางในย่านเมืองใหม่ หรือ New Urban Epicenter ตามแนวรถไฟฟ้าเส้นหลักและส่วนต่อขยายทั่วกรุงเทพฯ ขนาดโครงการไม่เกิน 2-3 ไร่ ที่ผ่านมา บริษัทได้มีการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ นิว คือ โครงการ นิว โนเบิล แจ้งวัฒนะ โครงการ นิว โนเบิล ศรีนครินทร์-ลาซาล ซึ่งได้รับผลการตอบรับที่ดี”
โดยแผนต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง จะเปิดแบรนด์ NUE ถึง 3 โครงการ มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ นิว โนเบิล งามวงศ์วาน มูลค่า 1,800 ล้านบาท ราคาขายเริ่ม 1.59 ล้านบาท มียอดจองผ่านออนไลน์และจนถึงปัจจุบันมีตัวเลขใกล้ 1,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกือบ 90% กลุ่มลูกค้าคนไทยจองซื้อ , โครงการ นิว โนเบิล รัชดา-ลาดพร้าว มูลค่า 2,000 ล้านบาท ราคาขายเริ่ม 2.39 ล้านบาท โดยจะเปิดจองออนไลน์ในวันที่ 16 ส.ค.นี้ และโครงการ นิว โนเบิล ไฟฉาย-วังหลัง เป็นโครงการคอนโดมิเนียมในย่านฝั่งธนบุรีแห่งแรงของบริษัท มูลค่า 1,200 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในเดือน ก.ย.นี้ อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 บริษัทยังมีแผนในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ นิว เพิ่มอีกอย่างน้อย 4 โครงการ เพื่อเป็นขยายฐานลูกค้ากลุ่มระดับราคา 2-3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น
“สิ่งที่เรา เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า และให้ลูกค้าเข้าถึงแบรนด์โนเบิลได้ง่ายขึ้น แต่เรายังไม่ทิ้งเรื่องการออกแบบ ดีไซน์ และฟังก์ชันต่างๆ โดยในปี 2564 เราจะเปิดแบรนด์ NUE ในสัดส่วนที่มากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะสอดคล้องต่อการซื้อที่ดินของบริษัทฯ อย่างไรก็ตาม การปรับมาเล่นตลาดระดับกลางลงล่างนั้น เรื่องของมาร์จิ้นต่อภาพรวมของบริษัทนั้น ไม่ได้กระทบมาก เนื่องจากโครงการที่บริษัทพัฒนาไปก่อนหน้านี้ จะเป็นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงไฮเอนด์ มีมาร์จิ้นค่อนข้างสูง ทำให้บริษัทยังสามารถรักษามาร์จิ้นได้ 35 เปอร์เซ็นต์” นายอรรถวิทย์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในปี 2563 นี้ บริษัทคาดวาจะมีรายได้มากกว่า 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นจากโครงการที่แล้วเสร็จพร้อมอยู่ 8,600 ล้านบาท และโครงการที่กำลังก่อสร้าง 1,400 ล้าบาท ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอนมากกว่า (แบ็กล็อก) มูลค่า 15,000 ล้านบาท สามารถรองรับการรับรู้รายได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า.