คลังชี้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจแก้พิษไข้
“อุตตม” รับสภาพ เศรษฐกิจไทยซมพิษไข้ จำต้องงัดสารพัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาใช้ หวังผ่านพ้นช่วงหนี้ แล้วไปลุ้นต่อในปีหน้า ด้าน ผอ.ออมสิน มั่นใจ ผลจากมาตรการภาครัฐ หนุนเศรษฐกิจไทยในปีหน้าอย่างแน่นอน
นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กล่าวตอนหนึ่งระหว่างเปิดงานมหกรรมการเงินส่งท้ายปี ครั้งที่ 3 (Money Expo Year-End 2019) โดยยอมรับว่า วันนี้เศรษฐกิจไทยเปรียบเหมือนคนเป็นไข้ จำเป็นต้องให้ยารักษาเพื่อไม่ให้อาการทรุดจนเกิดการอักเสบขึ้นมา ซึ่งรัฐบาลได้จัดให้มีชุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นออกมาแก้ไข อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพิจารณาการใช้เงินอย่างรอบคอบ เพื่อให้าสามารถผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ และสามารถพัฒนาในระยะยาวต่อไปได้
ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าประเทศไทยมีโอกาสจะปรับเปลี่ยน จากความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโอกาสที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ หากสามารถตอบสนองความเปลี่ยนแปลงได้ จะเป็นประโยชน์ต่อเรา แต่การที่ประเทศจะปรับเปลี่ยนเราต้องการพัฒนาคนโดยเฉพาะพัฒนาให้คนไทยมีทักษะ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรม หากทำได้เศรษฐกิจไทยจะมีพลัง
“ขณะเดียวกันตลาดเงินตลาดทุนมีความสำคัญมากต่อความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจ ยิ่งถ้าเรายังไม่ลงทุน ไม่จับจ่ายใช้สอบ ความเชื่อมั่นก็ยิ่งจะทรุดตัวลง” รมว.คลังย้ำ
ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวถึงข้อเสนอเรื่องการออกกองทุนลดหย่อนภาษีเพื่อทดแทน LTF ที่จะหมดอายุภายในสิ้นปี 62 นี้ ว่า ตลาดทุนได้เสนอเรื่องให้กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง ที่ต้องการให้รวมวงเงิน RMF ที่ปัจจุบันได้วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 5 แสนบาท เข้ากับกองทุนลดหย่อนภาษีใหม่ที่มาแทนที่ LTF โดยเมื่อรวมกันแล้ว วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดจะให้ไม่เกิน 250,000 บาท/ปีนั้น ส่วนตัวไม่เห็นด้วย เพราะตัว RMF เป็นการออมเพื่อใช้หลังเกษียณ ซึ่งถือเป็นการออมระยะยาวจนถึงอายุ 55 ปี แต่ LTF หรือกองใหม่ที่จะมาแทนที่ ถือเป็นการออมระยะยาวแต่ไม่ได้จนถึงเกษียณ ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมการลงทุนของคนรุ่นใหม่
ทั้งนี้ หากรวมสองกองทุนแล้วเหลือค่าลดหย่อนเพียง 250,000 บาท จะทำให้เงินที่เข้ามาลงทุนในกองลดหย่อนภาษี ที่ LTF เคยมีเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ราวปีละ 5 หมื่นล้านบาท อาจเหลือไม่ถึงครึ่งของปัจจุบัน และจะส่งผลต่อการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ปัจจุบันตลาดหุ้นไทย ติด 1 ใน5 ของตลาดที่มีผลตอบแทนต่ำที่สุดในโลก โดยมีผลตอบแทนเพียง 2 -3% ขณะที่ตลาดสหรัฐ บวก 30 % จีน 20 % แม้แต่ตลาดหุ้นฮ่องกงก็มีอัตราผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นไทย
“ข้อเสนอของตลาดทุนนั้น เห็นว่า กองทุนใหม่ที่จะมาแทน LTF น่าจะกำหนดวงเงินลดหย่อนสูงสุดที่ 250 ,000 บาท หรือถ้าเห็นว่ามากไป ก็อาจลดลงเหลือ2 แสนบาท/ปีก็ได้ และไม่ควรนำไปรวมกับ RMF ส่วนระยะเวลาการการลงทุนคิดว่า 10 ปีน่าจะยาวนานเพียงพอ”
ขณะที่ นายชาติ พยุหนาวีชัย ผอ.ธนาคารออมสิน กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในส่วนของมาตรการอสังหาริมทรัพย์ ว่า น่าจะมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้ ต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้า โดยคาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ น่าจะอยู่ในระดับ 2.6% ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่คาดไว้เมื่อช่วงต้นปีราว 3.2% อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะขยายตัวในระดับ 2.6-3.0% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายๆ ตัวของรัฐบาลในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
“ต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจภายนอกประเทศก็ไม่ค่อยดีนัก ส่งผลกระทบไปยังภาคการส่งออกของไทย รวมถึงภาคการผลิตและการลงทุนภาคเอกชน ขณะที่กำลังซื้อภายในประเทศก็หดตัว หากรัฐบาลไม่ออกมาตรการใดๆ เข้ามาพยุงภาวะเศรษฐกิจแล้ว เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบหนักมากกว่านี้ เพียงแต่มาตรการระยะสั้นที่ออกมานี้ อาจจะยังไม่เห็นผลมากนักในปีนี้ แต่เชื่อว่าในปีหน้าผลพวงของการกระตุ้นเศรษฐกิจจะมีให้เห็นอย่างแน่นอน” ผอ.ธนาคารออมสิน ระบุ.