จ่อเปิดเฟส 2 ดึง 1 แสนร้านชุมชนร่วม “ชิมช้อปใช้”
“รองฯสมคิด” จ่อเปิดเฟส 2 “ชิมช้อปใช้” ดึงร้านค้าชุมชนในเครือข่าย “ออมสิน-ธ.ก.ส.” กว่าแสนราย ร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก พร้อมเพิ่มพันธมิตรหน่วยงานรัฐร่วมมาตรการชุดใหม่ หวังหนุนเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ด้าน “โฆษก พปชร.” ระบุ เม็ดเงินใน “กระเป๋า 1” ช่วยหนุนเศรษฐกิจฐานรากผ่านร้านค้าชุมชนกว่า 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ “กระเป๋า 2” หนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนอีกกว่า 7 หมื่นล้านบาท
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” ว่า รัฐบาลเตรียมจะขยายผลในระยะต่อไปหลังจากเกิดกระแสสังคมตอบรับเป็นอย่างดีกับมาตรการดังกล่าวที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร ครอบคลุมแนวทางการดำเนินงานแค่ไหน และจะเริ่มเมื่อใดนั้น คงต้องหารือภายในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ยืนยันว่ามาตรการ “ชิมช้อปใช้” มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจของไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลก ขณะที่ภาคการส่งออกก็มีปัญหา การเมืองก็ไม่สู้จะดีนัก ฉะนั้น ภาคการท่องเที่ยวจึงน่าจะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศในช่วงนี้
ทั้งนี้ จากการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสิน ซึ่งมีลูกค้าในกลุ่มฐานราก กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศเป็นจำนวนมาก โดยในกลุ่มลูกค้าของทั้ง 2 ธนาคาร ก็มีลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการในกลุ่มร้านค้า ที่พักอาศัย และธุรกิจท่องเที่ยวในชุมชนอยู่เป็นจำนวนมาก รวมกันนับแสนๆ ราย โดยหากในระยะต่อไป หรือเฟสที่ 2 สามารถจะดึงเอาผู้ประกอบการกลุ่มนี้เข้าร่วมมาตรการ “ชิมช้อปใช้” ได้ เชื่อว่าน่าจะสร้างระบบเศรษฐกิจชุที่เกิดการหมุนเวียนและกระจายรายได้สู่เศรษฐกิจฐานรากภายในชุมชนทั่วประเทศได้เป็นอย่างดี โดยน่าจะเห็นผลในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
รองนายกฯสมคิด กล่าวอีกว่า นอกจากจะเพิ่มจำนวนประชาชนที่จะได้รับสิทธิ์เงิน 1,000 บาทและสิทธิ์ในการรับคืนเงิน 15% รวมถึงการเชิญชวนร้านค้าชุมชนในกลุ่มลูกค้าของธ.ก.ส.และธนาคารออมสิน เข้าร่วมมาตรการ “ชิมช้อปใช้” ในเฟสที่ 2 แล้ว ยังจะดึงเอาหน่วยงานอื่นๆ มาเข้าร่วมมาตรการดังกล่าวด้วย ไม่ว่าเป็นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ได้ต่อยอดโครงการต่อเนื่องกับมาตรการ “ชิมช้อปใช้” ไม่ว่าจะเป็นโครงการ “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย” หรือ “เที่ยววันธรรมดา ราคาช็อกโลก” ในโอกาสต่อไป
ก่อนหน้านี้ (วันที่ 1 ต.ค.62) คณะรัฐมนตรีเพิ่งจะอนุมัติงบกลาง 116 ล้านบาท ตามที่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เสนอมา สำหรับส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ผ่านโครงการ “ถึงเวลาทัวร์ ให้ทั่วไทย” ช่วงที่เหลือในปีนี้ เพื่อกระตุ้นใช้จ่ายในการเดินทางทั่วทุกพื้นที่และภาคธุรกิจให้มากที่สุด โดยจัดแบ่งออกเป็น 2 มาตรการ ดังนี้
มาตรการที่ 1 “100 เดียวเที่ยวทั่วไทย” ใช้งบทั้งสิ้น 63.5 ล้านบาท สามารถซื้อแพ็กเกจการท่องเที่ยวจากสายการบิน โรงแรม ร้านค้า ได้ในราคา 100 บาท โดยแพ็กเกจดังกล่าวจัดทำขึ้นจำนวน 4 หมื่นรายการ เน้นกลุ่มเป้าหมายคน Gen X, Gen Y และผู้มีกำลังใช้จ่ายระดับปานกลาง
และมาตรการที่ 2 “เที่ยววันธรรมดา ราคาช็อกโลก” ใช้งบทั้งสิ้น 52.50 ล้านบาท ร่วมกับพันธมิตรกลุ่มให้บริการสินค้าทางการท่องเที่ยวกลุ่มหรูหรา เน้นให้ท่องเที่ยวในวันธรรมดา หากใครท่องเที่ยวในวันธรรมดา จะมีส่วนลดที่เป็นโปรโมชั่นพิเศษสุด ทั้งเรื่องตั๋วเครื่องบิน โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ และโปรแกรมบริการพิเศษต่างๆ ในการเดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในวันธรรมดา โดยเน้นไปที่กลุ่มคนที่มีกำลังซื้อ
ด้านนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กล่าวว่า มาตรการ “ชิมช้อปใช้” ในเฟส 2 นี้ จะเน้นที่การมีส่วนร่วมของร้านค้าและวิสาหกิจชุมชนขนาดเล็กภายในชุมชนให้มากขึ้น เพื่อให้ร้านค้าเหล่านี้ได้มีโอกาสรองรับนักท่องเที่ยวจากมาตรการดังกล่าว ทั้งนี้ จากการหรือกับ รมว.ท่องเที่ยวฯ จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างมาตรการ “ชิมช้อปใช้” กับ 2 มาตรการในโครงการ “ถึงเวลาทัวร์ ให้ทั่วไทย” ได้อย่างแน่นอน โดยในส่วนของมาตรการจากกระทรวงท่องเที่ยวฯ จะเริ่มเปิดตัวในวันที่ 11 เดือน 11 (11 พ.ย.) นี้
ส่วนรายละเอียดของมาตรการ “ชิมช้อปใช้” ในเฟส 2 นั้น ตนขอดูผลจากการดำเนินงานในเฟสแรกก่อน เบื้องต้นยังไม่ขอสรุปว่าทั้งในส่วนของกระเป๋าที่ 1 และกระเป๋าที่ 2 ยังจะเป็นการให้เงินเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวจำนวน 1,000 บาท และการคืนเงิน 15% เหมือนเดิมหรือไม่ คงต้องหารือกันก่อน
สำหรับเงินที่จะนำมาใช้ในเฟส 2 นั้น รองนายกฯสมคิด กล่าวเสริมว่า กระทรวงการคลังมีแนวทางการดำเนินงานในเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ยังไม่ขอลงลึกในรายละเอียด เบื้องต้นขอแค่ยืนยันในหลักการว่าจะมี มาตรการ “ชิมช้อปใช้” ในเฟส 2 อย่างแน่นอน แต่ยังไม่ยืนยันจะเริ่มเมื่อใดและอย่างไร
ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการ รมว.คลัง กล่าวในฐานะ “รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ” ถึงกรณีที่น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ให้คะแนน 2 คะแนนจากคะแนนเต็ม 100 ต่อมาตรการ “ชิมช้อปใช้” และเชื่อว่าไม่กระตุ้นเศรษฐกิจได้ ว่า ตนรู้สึกผิดหวังกับโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ไม่ทราบว่าใช้ส่วนไหนคิด เนื่องจากมาตรการดังกล่าวมีส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยที่ประชาชนได้ประโยชน์จากการออกมาใช้จ่ายกันอย่างคึกคัก จนมีการเรียกร้องให้เปิดเฟส 2
ทั้งนี้ ในช่วง 10 วันแรกมีผู้ลงทะเบียนรับสิทธิ์มาตรการ “ชิมช้อปใช้” เต็มตามเป้าหมาย 1 ล้านรายทุกวัน หากประชาชนใช้สิทธิ์ครบทั้ง 2 กระเป๋า จะเกิดผลต่อเศรษฐกิจ ดังนี้ คือ กระเป๋า 1 วงเงิน 1,000 บาทแรก เพื่อดึงคนออกจากบ้าน ในส่วนนี้ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 10,000 ล้านบาท และกระเป๋า 2 เมื่อมีการเดินทางก็จะเกิดการใช้จ่าย ซึ่งหากประชาชนใช้สิทธิ์ตามที่คาดการณ์ จะก่อให้เกิดวงเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจอีกกว่า 70,000 ล้านบาท จากวงเงินงบประมาณ 9,000 ล้านบาท เป้าหมายของโครงการนี้คือ กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และเน้นไปที่เศรษฐกิจฐานราก เมื่อพ่อค้าแม่ค้าได้รับเงินก็จะนำไปซื้อวัตถุดิบส่วนหนึ่งด้วย
โฆษกพรรคพลังประชารัฐกล่าวอีกว่า ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเงินหมุนไปเป็นค่าแรงคนงาน ดังนั้น จึงเกิดการกระตุ้นการบริโภค ก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนและส่งผลด้านจิตวิทยา เกิดความคึกคักในการจับจ่ายใช้สอย อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายจะเป็นการใช้จ่ายที่ร้าน “ช้อป” ซึ่งเป็นร้านในกลุ่ม OTOP ร้านวิสาหกิจชุมชน รวมทั้งร้านธงฟ้าประชารัฐเกินครึ่ง สะท้อนการกระจายเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจฐานราก มีการใช้จ่ายทั้ง 77 จ. แสดงให้เห็นว่าการใช้จ่ายดังกล่าวกระจายไปยังทุก จ. โดยเฉพาะร้านค้าท้องถิ่น ไม่มีการเอื้อนายทุน มีการใช้จ่ายในร้านค้าขนาดใหญ่ที่มีหลายสาขาเพียงร้อยละ 22 ของทั้งหมด โครงการ “ชิม ช้อป ใช้” สนับสนุนยุทธศาสตร์ National e-Payment ใน scale ที่ใหญ่มาก เป็นการเพิ่มจำนวนผู้ใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ในครั้งเดียวกว่า 10 ล้านรายเป็นครั้งแรกในประเทศไทยอีกด้วย.