คลังเล็งเพิ่มเพดานก่อหนี้รับมือทรัมป์

“พิชัย”ปรับแผนเจรจา หลังทรัมป์เลื่อนบังคับใช้มาตรการภาษีโต้ตอบ ยันคงหลักการสร้างสมดุลทางการค้า ระบุ ข้อกังวลทุกฝ่ายเป็นผลทางจิตวิทยา ขณะที่ มีแผนเพิ่มเพดานการก่อหนี้รับผลกระทบ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การเลื่อนกำหนดการบังคับใช้ มาตรการภาษีโต้ตอบของสหรัฐฯ 90 วัน เป็นเรื่องที่คาดการณ์ไว้ได้อยู่แล้ว เนื่องจาก หลายประเทศต้องใช้เวลาเจรจาและเดินทาง แต่การเลื่อนกำหนดบังคับใช้ดังกล่าว มีทั้งกลุ่มประเทศที่ได้รับการเลื่อนการบังคับใช้ และไม่ได้เลื่อน ทำให้ไทยต้องปรับแผนการเจรจา เพื่อให้สอดคล้องกับสัดส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทุกกลุ่ม โดยยังคงอยู่บนพื้นฐานสร้างความสมดุลทางการค้าระหว่างประเทศ
เนื่องจาก ไทยและหลายประเทศ ยังคงถูกเก็บภาษีพื้นฐานสำหรับส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 10% แต่หลายประเทศ ก็มีต้นทุนดังกล่าว ในอัตราเดียวกัน แต่หากประเทศคู่แข่งทางตรงของไทย ได้รับการปรับลดภาษี และไทย ถูกเก็บภาษีสูงกว่า จึงมองว่า เป็นเรื่องน่ากังวล และผู้บริโภคชาวอเมริกันจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนการนำเข้าที่สูงขึ้น
ส่วนกรณีความกังวลผลกระทบจากการเจรจากับสหรัฐฯนั้น นายพิชัย กล่าวว่า ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน เกษตรกร ถึงเศรษฐี ล้วนกังวลผลกระทบที่สงครามการค้าทั้งสิ้น ทั้งที่ ยังไม่ได้เริ่มเจรจาต่อรองใดๆ จึงเป็นเพียงผลกระทบทางจิตวิทยาทั้งสิ้น
อย่างไรก็ดี ยอมรับว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลก และหากว่าจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจพิจารณาขยายเพดานก่อหนี้สาธารณะจากปัจจุบันอยู่ที่ 70%ต่อจีดีพี แต่หากกระทรวงการคลัง จะตัดสินใจขยายเพดานหนี้สาธารณะ ก็ต้องมีเหตุผล นำไปใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด จึงต้องทบทวนมาตรการกระตุ้นการบริโภค ตามแผนเดิม เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : “พิชัย” เล็ง “สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์” นั่งประธานสรรหาผู้ว่า ธปท.