ลิ้นจี่ ผลไม้หน้าร้อนที่ชาวจีนชื่นชอบ!!
จีนมีความต้องการลิ้นจี่ ผลไม้หน้าร้อนเพิ่มมากขึ้น หลังจากพื้นที่การเพาะปลูกลดลง ทางการจีนอนุญาตให้หลายประเทศในอาเซียนส่งลิ้นจี่มายังจีนได้
“ลิ้นจี่” เป็นผลไม้เมืองร้อนอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน แม้ว่าพื้นที่จีนตอนใต้จะมีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เหมาะสมกับการปลูกลิ้นจี่ โดยเฉพาะมณฑลกวางตุ้ง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง มณฑลไห่หนาน และมณฑลฝูเจี้ยน ถือเป็นแหล่งผลิตใหญ่ในจีน แต่ช่วงเวลาที่ลิ้นจี่ออกสู่ตลาดกับปริมาณผลผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค และยังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากประเทศสมาชิกอาเซียน
สถานการณ์การผลิตลิ้นจี่ในประเทศจีนกำลังชะลอตัวลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกมีแนวโน้มลดลงทุกปี (จาก 3.58 ล้านไร่ในปี 2560 เหลือ 3.28 ล้านไร่ในปี 2565 ที่ผ่านมา) ขณะที่ผลผลิตลิ้นจี่ก็มีความผันผวนเช่นกัน ข้อมูลปี 2565 ผลผลิตลิ้นจี่ในจีนมีอยู่ราว 2.53 ล้านตัน ลดลง 10% จากปีก่อนหน้า (YoY)ปัจจุบัน รัฐบาลจีนอนุญาตให้มีการนำเข้าลิ้นจี่จากประเทศเวียดนาม ไทย มาเลเซีย และเมียนมา โดยช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนของทุกปี เป็นช่วง High season ของการนำเข้าลิ้นจี่ โดย ‘ลิ้นจี่ญวน’ ครองส่วนแบ่งในตลาดจีนมากที่สุด ปี 2565 มณฑลยูนนาน มณฑลซานตง เขตฯ กว่างซีจ้วง มณฑลเจ้อเจียง และนครฉงชิ่งมีการนำเข้าลิ้นจี่จากต่างประเทศ
ข้อมูล ณ วันที่ 24 พ.ค.2566 ศุลกากรด่านโหย่วอี้กวาน ได้ทำการตรวจสอบลิ้นจี่นำเข้าจากเวียดนามแล้ว 26 คันครั้ง คิดเป็นน้ำหนักเกือบ 546 ตัน คุณเหมิง อวี้ชุน (Meng Yuchun/蒙玉春) ตัวแทนสหกรณ์เกษตรในเมืองผิงเสียงให้ข้อมูลว่า สหกรณ์เกษตรนำเข้าลิ้นจี่เป็นประจำทุกปี ผลผลิตลิ้นจี่ของเวียดนามมีระยะเวลาสั้นเพียง 1 เดือน และลิ้นจี่จำเป็นต้องใช้การขนส่งและการผ่านพิธีการศุลกากรที่รวดเร็ว ดังนั้น ด่านการค้าชายแดนผู่จ้ายจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของสหกรณ์ในการนำเข้าลิ้นจี่
“ลิ้นจี่” เป็นผลไม้ที่เน่าเสียง่าย ดังนั้น การขนส่งและการปฏิบัติพิธีการศุลกากรจำเป็นต้องแข่งกับเวลา นับตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.2566 ที่รัฐบาลจีนเริ่ม ‘ปลดล็อก’ มาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในคนและสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ บรรยากาศการเดินทางเข้า-ออกด่านพรมแดนของรถบรรทุกสินค้าผ่านด่านทางบกระหว่างเขตฯ กว่างซีจ้วง(จีน)กับเวียดนามเป็นไปด้วยความคึกคัก โดยเฉพาะด่านสากลทางบกโหย่วอี้กวานและด่านการค้าชายแดนผู่จ้าย กิจกรรมทางเศรษฐกิจบริเวณได้ฟื้นตัวกลับมาสู่ช่วงก่อนโควิด-19
เพื่อให้ผลไม้นำเข้าคงคุณภาพและความสดใหม่ ศุลกากรผิงเสียงได้ดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ค้าในการนำเข้า-ส่งออกสินค้าผ่านด่านทางบก โดยเฉพาะสำหรับลิ้นจี่แล้ว ศุลกากรโหย่วอี้กวานได้ปรับปรุงขั้นตอนการผ่านด่าน การส่งเสริมกลไกการประสานงานระหว่างด่านกับผู้ค้า การดำเนินนโยบายอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติพิธีการศุลกากรตรวจสินค้า เช่น การให้สิทธิสำหรับสินค้าเกษตรสดและมีชีวิตในการผ่านเข้าด่านก่อน (Green lane) รวมถึงกระบวนการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างสินค้าที่ห้องปฏิบัติการให้ทราบผลอย่างรวดเร็ว
คุณหวง เต๋อ ยรง (Hu Derong/黄德荣) รองหัวหน้าฝ่ายงานควบคุมตรวจสอบประจำด่านโหย่วอี้กวาน ให้ข้อมูลว่า ศุลกากรโหย่วอี้กวานได้จัดฝึกอบรมด้านการตรวจกักกันโรคและแมลงศัตรูพืชในลิ้นจี่เป็นการเฉพาะ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบหน้างาน เพื่อสร้างหลักประกัน ‘ลิ้นจี่นำเข้าปลอดภัย’ ในขณะเดียวกัน ศุลกากรฯ รับทราบแผนการนำเข้าลิ้นจี่ของสหกรณ์เป็นการล่วงหน้า และได้จัดทำแผนการตรวจสอบลิ้นจี่นำเข้า โดยปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบ เพิ่มอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสินค้า และเพิ่มพื้นที่จอดรถบรรทุกสินค้าสำหรับการตรวจสอบสินค้า เพื่อให้ลิ้นจี่สามารถนำเข้าผ่านด่านได้อย่างรวดเร็ว
บีไอซี ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ด้วยความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายของผลไม้เมืองร้อนและผลไม้เขตกึ่งร้อนที่สามารถปลูกและผลิดอกออกผลได้ตลอดทั้งปี แถมยังมีราคาย่อมเยา ทำให้ผู้บริโภคสามารถควักกระเป๋าซื้อหามารับประทานได้ทั่วไป จนเกิดเป็นไวรัลในโลกโซเชียลที่พูดถึงกว่างซีว่าเป็น Fruit Freedom หรือในภาษาจีนพูดว่า “สุยกั่ว จื้อโหยว” (水果自由) ในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมของทุกปีเป็นช่วงที่ผลไม้เมืองร้อนท้องถิ่นหลายชนิดจะเริ่มทยอยออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ทั้งมะม่วง ลิ้นจี่ และลำไยอย่างที่ได้นำเสนอไปข้างต้นว่า แม้ว่าผลไม้เมืองร้อนบางชนิดสามารถเพาะปลูกได้ดีในพื้นที่จีนตอนใต้ อย่างลิ้นจี่ในกว่างซี คาดว่าปีนี้จะได้ผลผลิตราว 9.7 แสนตัน แต่ปริมาณผลผลิตยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการบริโภคในจีนได้ อีกทั้ง ฤดูกาลที่ผลผลิตออกสู่ตลาดที่เหลื่อมกัน จึงเป็น ‘โอกาส’ ที่เกษตรกรชาวสวนผลไม้ไทยจะส่งเสริมการเพาะปลูกผลไม้เมืองร้อนที่หลากหลายและต้องได้คุณภาพ ควบคู่การพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบรรจุภัณฑ์เพื่อการส่งออกไปตลาดจีน ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มมูลค่า (Value added) ให้กับตัวสินค้าแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์และค่านิยมของผลไม้ไทยที่มีคุณภาพและความสดใหม่ในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน