เก็บภาษีก๊าซคาร์บอนฯ สกัดฝุ่นพิษ 1 ม.ค.63
สรรพสามิต ดีเดย์ “1 ม.ค.63” งัดมาตรการภาษีลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ระยะที่ 2 เน้นจัดเก็บจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯของมอเตอร์ไซค์ พร้อมขยายเวลาบังคับใช้อัตราภาษีสรรพสามิตยาสูบฯ ออกไปอีก 1 ปี หวังให้อุตสาหกรรมมีเวลาปรับตัว ชี้เหตุปรับขึ้นภาษียาเส้น หวังลดช่องว่างขายปลีกใกล้เคียงซิกาแรต
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 เป็นต้นไป กรมสรรพสามิตจะจัดเก็บภาษีตามปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อให้เป็นไปตามหลักการจัดเก็บภาษีเพื่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุนขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมในประเทศที่คำนึงถึงประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงาน และสนับสนุนทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีการประหยัดพลังงานในอนาคต ประกอบกับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพจากการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ จะส่งผลให้ลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 และปัญหามลพิษต่างๆ ที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ
“มาตรการดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในมาตรการภาษีเพื่อลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 และมลพิษต่างๆ ที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ระยะที่ 2 โดยกำหนดให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.63 เนื่องจากในปี 2562 รถจักรยานยนต์ต้องผ่านการทดสอบมาตรฐานมลพิษตาม มอก. ซึ่งเป็นมาตรฐานบังคับ เทียบเท่ากับมาตรฐาน Euro 4 ของสหประชาชาติ (UN) จึงเห็นควรให้กลุ่มอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ มีระยะเวลาในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมของระบบ Eco Sticker ไปพร้อมกัน ทั้งนี้ เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของรถจักรยานยนต์ จึงเห็นควรให้รถจักรยานยนต์ที่ได้รับการลดอัตราภาษีต้องปฏิบัติตามมาตรฐานยางรถจักรยานยนต์ มอก. 2720 – 2558 หรือ UN R 75” อธิบดีกรมสรรพสามิต ระบุ
นอกจากนี้ ทางด้านการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตยาสูบนั้น สืบเนื่องจากการปรับอัตราภาษียาสูบตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต 2560 เมื่อเดือน ต.ค.60 ส่งผลให้ราคาขายปลีกบุหรี่ซิกาแรตสูงขึ้น ทำให้การบริโภคลดลง โดยขณะที่การบริโภคยาเส้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการบริโภคที่ลดลงดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบอุตสาหกรรม ทั้งผู้ผลิตในประเทศและผู้นำเข้า ตลอดจนเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบ อีกทั้งยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภคยาเส้นที่มีการบริโภคเพิ่มขึ้น เนื่องจากยาเส้นดังกล่าวนำไปทำเป็นบุหรี่มวนเองซึ่งไม่มีก้นกรอง ทำให้ผู้บริโภครับสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น กรมสรรพสามิตจึงเห็นควรให้มีการขยายเวลาในการบังคับใช้อัตราภาษีตามมูลค่าร้อยละ 20 และร้อยละ 40 ออกไป เพื่อให้อุตสาหกรรมมีระยะเวลาในการปรับตัวอีกหนึ่งปี เพื่อการปรับตัวและการพัฒนาในด้านต่าง ๆ อาทิ การหาพืชทดแทน การหาช่องทางการตลาดที่เหมาะสมเพื่อการผลิตและส่งออก เป็นต้น
อธิบดีกรมสรรพสามิต ย้ำอีกว่า นอกจากการบริโภคบุหรี่ซิกาแรตที่ลดลงแล้ว ยังเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยหันมาบริโภคยาเส้นแทน (Switching Effect) ทั้งนี้ เนื่องจากมีราคาขายปลีกต่ำกว่ามาก ซึ่งการบริโภคทั้งบุหรี่ซิกาแรตและยาเส้นล้วนส่งผลต่อสุขภาพ และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของประชาชนเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงควรปรับอัตราภาษีตามปริมาณให้สะท้อนหลักสุขภาพในอัตราภาษีที่ใกล้เคียงกัน โดยปรับขึ้นอัตราภาษียาเส้นตามปริมาณเป็น 0.10 บาท/กรัม เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว และลดช่องว่างของราคาขายปลีกบุหรี่ซิกาแรตและราคายาเส้นให้มีความใกล้เคียงกันมากขึ้น จากเดิมประมาณกว่า 300 เท่า เหลือประมาณ 17 เท่า.