กนง.ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25%
กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จากเดิม 0.50% เพิ่มขึ้นเป็น 0.75% โดย 1 เสียง เห็นควรให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% ต่อปี
“ที่ประชุม กนง. มองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนขึ้น โดยคาดว่า จะกลับเข้าสู่ระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 ได้ภายในสิ้นปีนี้ และจะขยายตัวต่อเนื่องในระยะต่อไป ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงอีกระยะหนึ่ง” นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าว และกล่าวว่า
คณะกรรมการฯ ประเมินว่า นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากเป็นพิเศษ เพื่อรองรับวิกฤตโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา มีความจำเป็นลดลง โดยกรรมการส่วนใหญ่เห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปีในการประชุมครั้งนี้ ส่วนกรรมการ 1 ท่านเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% ต่อปี เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่อาจต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต โดยประเมินว่าจะไม่กระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะนี้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง และมีแรงส่งชัดเจน จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด ตามการผ่อนคลายนโยบายการเดินทางระหว่างประเทศ และความกังวลในการเดินทางท่องเที่ยวที่ลดลง นอกจากนี้ การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากตลาดแรงงานและรายได้ครัวเรือนที่ปรับดีขึ้น
“แม้เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัว แต่ผลกระทบต่อแรงส่งสำคัญของเศรษฐกิจไทย คาดว่าจะมีจำกัด” นายปิติ กล่าว และย้ำว่า อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปจากต้นทุนและค่าครองชีพที่สูงขึ้น
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้เดิม โดยคาดว่าจะอยู่ในระดับสูงอีกระยะหนึ่ง ก่อนที่จะทยอยปรับลดลงเข้าสู่กรอบเป้าหมายในปี2566 ตามแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทานที่ทยอยคลี่คลาย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางไม่ได้ปรับสูงขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไป ยังมีความเสี่ยงด้านสูงจากการส่งผ่านต้นทุนไปยังเงินเฟ้อพื้นฐานที่อาจมากและเร็วกว่าคาด คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการเงินเฟ้อและการส่งผ่านต้นทุน รวมถึงเงินเฟ้อคาดการณ์อย่างใกล้ชิด
นายปิติ กล่าวว่า ด้านระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง รวมทั้งสภาพคล่องในระบบการเงินอยู่ในระดับสูง แต่การกระจายสภาพคล่องยังแตกต่างกันบ้างในแต่ละภาคเศรษฐกิจ ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่บางกลุ่มยังเปราะบาง โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในสาขาธุรกิจที่ฟื้นตัวช้าและครัวเรือนรายได้น้อยที่มีความอ่อนไหวต่อค่าครองชีพ คณะกรรมการฯ เห็นว่าควรดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเห็นความสำคัญของการมีมาตรการเฉพาะจุด และแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง
สำหรับภาวะการเงินโดยรวมยังผ่อนคลายแต่มีความผันผวนสูง โดยอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐปรับอ่อนค่าลงตามการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก จากความกังวลต่อสินทรัพย์เสี่ยง ภายใต้แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามพัฒนาการและความผันผวนในตลาดการเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด
“ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน”
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าการที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง ทำให้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากเป็นพิเศษ มีความจำเป็นลดลงและเห็นว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายกลับเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว ควรดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า” นายปิติ กล่าวทิ้งทาย
ด้าน รมว.คลัง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวว่า ที่ผ่านมากระทรวงการคลังมีการหารือร่วมกับผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการขอความร่วมมือไปยังธนาคารพาณิชย์ เช่นเดียวกันที่กระทรวงการคลังที่ได้ขอความร่วมมือไปยังสถาบันการเงินของรัฐ (SFIs) ในการตรึงดอกเบี้ยให้นานที่สุด
“การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-6 เดือน ที่จะส่งผ่านไปยังสถาบันการเงินในการปรับขึ้นดอกเบี้ย และดอกเบี้ยฝั่งเงินกู้มักขึ้นเร็วกว่าดอกเบี้ยฝั่งเงินฝาก แต่เชื่อว่าสถาบันการเงิน ยังต้องพิจารณาภาวะเศรษฐกิจประกอบด้วย เพราะหากปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินไป ก็อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งยอดการขยายสินเชื่อได้เช่นกัน”
อย่างไรก็ตาม ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาในช่วงโควิด ไม่ได้มีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยลดต้นทุนของภาคธุรกิจ แต่เมื่อโควิดคลี่คลาย ธุรกิจเริ่มเดินได้ เศรษฐกิจเริ่มเดินได้ เครื่องมือการเงินและการคลัง ก็ต้องกลับมาใช้เครื่องมือในภาวะปกติ เช่น การจัดหารายได้ภาครัฐในการขยายฐานรายได้ การส่งเสริมการส่งออก ส่วนภาคการเงินเครื่องมือที่สำคัญ คืออัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ภาวะปกติ เครื่องมือก็ต้องทำงาน