วิกฤติโอมิครอนไม่สะเทือนผลดำกำไรแบงก์
ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ปี 2565…กับความท้าทายยุคโอมิครอน
ความไม่แน่นอนของสถานการณ์โควิด-19 กลับมาอีกครั้งในช่วงรอยต่อระหว่างปี 2564 เข้าสู่ปี 2565 ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนอกจากจะเป็นตัวแปรที่มีผลต่อจังหวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังมีนัยต่อเนื่องมายังการดำเนินธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ในปี 2565 ด้วยเช่นกัน ซึ่งหากว่า ไทยสามารถตีกรอบควบคุมการระบาดของโอมิครอนได้ดีและทันท่วงที ธนาคารพาณิชย์ก็จะยังคงมีเวลาที่จะสามารถพลิกฟื้นรายได้จากธุรกิจหลักและผลการดำเนินงานในภาพรวมกลับมาได้ แต่ระดับกำไรสุทธิ และมาตรวัดความสามารถในการทำกำไร อาทิ ROA และ NIM จะฟื้นตัวในกรอบจำกัด และจะยังอยู่ต่ำกว่าระดับในช่วงก่อนโควิด โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า กำไรสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ (ระบบธ.พ. ไทย) ในปี 2565 จะอยู่ที่ราว 1.86 แสนล้านบาทในปี 2565 ต่ำกว่าระดับกำไรสุทธิเฉลี่ยช่วงก่อนโควิดที่ทำได้สูงกว่า 2.00 แสนล้านบาทต่อปี
สินเชื่อระบบ ธ.พ. ไทยในปี 2565 มีแนวโน้มเติบโตในกรอบที่ชะลอลงเล็กน้อยมาที่ 4.0-5.5% จากที่คาดว่าจะปิดสิ้นปี 2564 ที่ 6.0% แต่การเติบโตของสินเชื่อจะถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยปกติมากขึ้น อย่างไรก็ดีคุณภาพสินเชื่อยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยคาดว่า สัดส่วน NPLs ในปี 2565 จะขยับขึ้นไปที่กรอบ 3.20-3.50% ต่อสินเชื่อรวม แม้ว่าจะยังคงได้รับอานิสงส์จากการผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้นหนี้ของธปท.
ในช่วงหลังจากนี้ คงต้องติดตามระดับความเสี่ยงจากการระบาดของโอมิครอนอย่างใกล้ชิด โดยหากความเสี่ยงจากการระบาดของโควิด-19 จากสายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มสูงขึ้น และมาตรการสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19 มีผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจยาวนานกว่าช่วงต้นปี 2565 ก็คงจะส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังรายได้จากธุรกิจหลัก และภาพรวมของผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นในปี 2565 จะเป็นปีที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องเดินหน้าธุรกิจอย่างระมัดระวัง และต้องเตรียมวางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่ดุเดือด โดยเฉพาะค่าธรรมเนียม สินเชื่อดิจิทัล และการแสวงหาโอกาสในพื้นที่ธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโลกการเงินยุคดิจิทัล ผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 2565 ขึ้นกับความสำเร็จในการล้อมกรอบการระบาดของโอมิครอน
ในปี 2565 ที่กำลังจะมาถึง คงมาพร้อมกับความไม่แน่นอนและความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นจากโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่ส่งผลทำให้ทางการไทยต้องยกระดับมาตรการควบคุมป้องกันสถานการณ์การระบาดให้มีความเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งหากว่า ไทยสามารถตีกรอบควบคุมการระบาดของโอมิครอนได้ดีและทันท่วงที รวมถึงการเร่งฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว ก็คงส่งผลทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเผชิญภาวะหยุดชะงักแค่เพียงในช่วงต้นปี 2565 แต่มีโอกาสที่จะกลับสู่เส้นทางการฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนมากขึ้นในช่วงหลังจากนั้น (หรือช่วงประมาณไตรมาสที่ 2/2565 เป็นต้นไป) และทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2565 ยังคงสามารถประคองแนวโน้มขยายตัวได้ดีกว่าปี 2564 ซึ่งภายใต้เงื่อนไขสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจตามภาพดังกล่าว น่าจะเอื้อให้ธนาคารพาณิชย์สามารถพลิกฟื้นรายได้จากธุรกิจหลักและผลการดำเนินงานในภาพรวมกลับมาได้เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดี ระดับการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ที่ยืดเยื้อของโควิด-19 ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า มาตรวัดความสามารถในการทำกำไรของระบบ ธ.พ. ไทย (18 แห่ง) ในปี 2565 จะยังคงฟื้นตัวในกรอบที่ค่อนข้างจำกัด และจะยังไม่สามารถกลับไปเทียบเท่ากับปี 2561-2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนวิกฤตโควิดได้ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ระบบธ.พ. ไทยอาจบันทึกกำไรสุทธิในปี 2565 ที่ประมาณ 1.86 แสนล้านบาท ซึ่งแม้จะเพิ่มขึ้น 5.0% จากกำไรสุทธิของปี 2564 ที่คาดไว้ที่ 1.78 แสนล้านบาท แต่ก็จะยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับกำไรสุทธิเฉลี่ยช่วงก่อนโควิดที่ทำได้สูงกว่า 2.00 แสนล้านบาทต่อปี ขณะที่อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Return on Assets: ROA) มีแนวโน้มขยับขึ้นมาที่ 0.90% ในปี 2565 สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2564 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 0.85% แต่ก็ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 1.27% ในช่วงก่อนโควิดด้วยเช่นกันในกรณีที่สามารถดูแลการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้ คาดว่า สินเชื่อของระบบธ.พ. ไทยในปี 2565 จะมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แต่อาจถูกขับเคลื่อนด้วยตัวแปรทางเศรษฐกิจตามปกติมากขึ้นกว่าในช่วงปี 2563-2564 ซึ่งการเติบโตของสินเชื่อในช่วงนั้นมีแรงผลักดันจากการปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือด้านสภาพคล่องให้กับลูกหนี้หลายกลุ่ม โดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจ ทั้งในส่วนที่เป็นไปตามโครงการสินเชื่อของธปท. (สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สินเชื่อฟื้นฟู และพักทรัพย์พักหนี้) และในส่วนของโครงการสินเชื่อที่ดำเนินการโดยสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ประกอบกับลูกหนี้บางส่วนก็อยู่ในช่วงการพัก และ/หรือชะลอการชำระหนี้ด้วยเช่นกัน
สินเชื่อธุรกิจปี 2565 อาจเติบโตประมาณ 4.2-5.2% โดยมีแรงหนุนจากการเบิกใช้สินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนสำหรับธุรกิจในประเทศและธุรกิจระหว่างประเทศ ตลอดจนสินเชื่อสำหรับเสริมสภาพคล่องและเพื่อการลงทุน ตามลำดับ ขณะที่สินเชื่อรายย่อยปี 2565 อาจเติบโตประมาณ 4.0-6.0% สูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับที่คาดว่าจะปิดสิ้นปี 2564 ที่ 4.0% อย่างไรก็ดีกรอบการฟื้นตัวของสินเชื่อรายย่อยยังมีข้อจำกัดจากภาระหนี้เดิมของภาคครัวเรือนที่มีอยู่ในระดับสูง ซึ่งทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการพิจารณาความเสี่ยงด้านเครดิตในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ทิศทางการเติบโตของสินเชื่อดังกล่าวข้างต้นจะช่วยประคองให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Income) ฟื้นตัวขึ้นตาม ขณะที่สถาบันการเงินมีแนวโน้มกระจายพอร์ตสินเชื่อไปยังพอร์ตที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อยที่ไม่มีหลักประกันมากขึ้น ซึ่งก็จะดำเนินการควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายในส่วนของเงินฝากให้มีประสิทธิภาพ ประกอบกับในปี 2565 ยังคงได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่น่าจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ และธปท. ก็ได้มีการขยายเวลาปรับลดอัตรานำส่งเงินสมทบกองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF fee) ต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (Net Interest Margin: NIM) ในปี 2565 มีโอกาสขยับขึ้นเล็กน้อยไปที่ระดับ 2.60% (กรอบคาดการณ์ที่ 2.50-2.70%) เทียบกับตัวเลขคาดการณ์สำหรับปี 2564 ที่ 2.54%
โจทย์เฉพาะหน้ายังเป็นเรื่องการดูแลลูกหนี้ และเร่งจัดการปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ในเชิงรุก รับมือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากโอมิครอนคงต้องยอมรับว่า ความไม่แน่นอนของสถานการณ์โควิด-19 ทำให้โจทย์เฉพาะหน้าของธนาคารพาณิชย์ยังคงเป็นการเร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยคงต้องปรับมาตรการช่วยเหลือให้เหมาะสมกับลูกหนี้แต่ละกลุ่ม เพราะลูกหนี้แต่ละรายมีปัญหาด้านรายได้และเงื่อนไขการฟื้นตัวที่แตกต่างกัน ซึ่งแนวทางที่จะปรับใช้จะมุ่งเน้นที่การประเมินความสามารถในการชำระหนี้และปรับปรุงโครงสร้างหนี้แบบระยะยาว ขณะที่ลูกหนี้ในกลุ่มที่อ่อนไหวต่อความผันผวนทางเศรษฐกิจและยังคงต้องการสภาพคล่องเพิ่มเติมก็จะมีเม็ดเงินช่วยเหลือจากโครงการสินเชื่อฟื้นฟู ซึ่งน่าจะมีวงเงินเหลือสำหรับใช้ในปี 2565 ที่ประมาณ 115,000 ล้านบาท (ณ 13 ธ.ค. 2564 มีสินเชื่อที่อนุมัติแล้วประมาณ 134,900 ล้านบาท คิดเป็น 54% ของวงเงินโครงการ) หรืออาจจะมีการโยกเม็ดเงินจากโครงการพักทรัพย์พักหนี้ที่ยังเหลืออยู่ประมาณ 70,556 ล้านบาทมาบางส่วน (ธปท. เคยส่งสัญญาณว่าสามารถปรับมาตรการในส่วนนี้ได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์) สำหรับในส่วนของลูกหนี้รายย่อยนั้น ทางเลือกที่เปิดเพิ่มเติมในปีหน้าก็จะเป็นการรวมหนี้ ซึ่งสามารถรวมหนี้ข้ามสถาบันการเงินและ/หรือผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นได้
นอกจากนี้ คุณภาพสินเชื่อยังเป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดด้วยเช่นกัน เพราะมาตรการดูแลเพื่อสกัดความเสี่ยงจากโควิด-19 อาจส่งผลทำให้ระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติได้อย่างเต็ม ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังสถานการณ์ด้านรายได้และกระแสรายรับของภาคธุรกิจ ตลอดจนภาวะการมีงานทำของภาคครัวเรือน ให้ยังไม่กลับมาเป็นปกติเช่นกัน