SCG กำไรหด ตั้งงบ 60,000 ลบ.ลงทุนปิโตรเคมี
ปูนซิเมนต์ไทย เผยผลประกอบการปี 2561 มีกำไรลดลง 19 % เนื่องจาก ธุรกิจเคมีคอลส์ ผันผวน เล็งหาตลาดส่งออกใหม่เพิ่ม และตั้งงบ 60,000 ล้านบาท ลงทุน ปิโตรเคมี
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCG) หรือเ ครือเอสซีจี เผยผลประกอบการไตรมาส 4 ปี2561 มีกำไร 10,468 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสก่อน EBITDA เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงที่มีรายได้เงินปันผลรับจากธุรกิจเคมิคอลส์และการลงทุนในธุรกิจอื่น ขณะที่รายได้จากการขายอยู่ที่ 117,223 ล้านบาท ลดลง 4% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสำหรับงวดลดลง 17% และ EBITDA ลดลง 24% ตามผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์เนื่องจากความผันผวนของตลาด ส่งผลให้ส่วนต่างราคาสินค้าลดลง และมีขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 2,200 ล้านบาท ในขณะที่รายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณขายสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น และธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีผลการด เนินงานในประเทศเพิ่มขึ้น
ส่วนผลการดำเนินงานของปี 2561 เอสซีจี มีกำไร 44,748 ล้านบาท ลดลง 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ EBITDA เท่ากับ 86,641 ล้านบาท ลดลง 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์ ขณะที่ธุรกิจแพคเกจจิ้งมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ทั้งนี้ รายได้จากการขาย 478,438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณขายสินค้าของทุกกลุ่มธุรกิจเพิ่มขึ้น
และในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ 60,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระดับ 45,800 หมื่นล้านบาทในปีที่แล้ว ซึ่งจะเป็นการลงทุนใน
ปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม 30,000 ล้านบาท ,การลงทุนขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์ในไทย ตลอดจนการลงทุนธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในฟิลิปปินส์ ,การลงทุนงานวิจัยและพัฒนา รวมถึงสตาร์ทอัพ 5,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เงินลงทุนจะมาจากเงินกู้และกระแสเงินสดที่มีอยู่ โดยปัจจุบันเงินสดราว 57,000 หมื่นล้านบาท ขณะที่เอสซีจี มีแผนจะออกหุ้นกู้ในเร็ว ๆ นี้ อีก 15,000 หมื่นล้านบาท อายุ 4 ปี เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดในเดือนเม.ย.นี้ โดยเอสซีจียังมีศักยภาพในการกู้เพราะมี net debt to EBITDA อยูที่ระดับ 1.7 เท่า และมีเป้าหมายไม่เกิน 2.5 เท่า
สำหรับเงินลงทุนดังกล่าวไม่นับรวมการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ที่เอสซีจียังคงมองหาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเน้นในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และซีเมนต์-วัสดุก่อสร้าง ขณะที่เคมีภัณฑ์จะให้ความสำคัญในการลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนามเป็นหลัก อย่างไรก็ตามในส่วนแผนการขายธุรกิจในกลุ่มที่ไม่แข็งแรงนั้น ก็ยังมีการพิจารณาอย่างต่อเนื่องด้วย ส่วนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ แห่งที่ 2 ในอินโดนีเซีย คาดว่าจะตัดสินใจช่วงต้นปี2563
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มธุรกิจเคมิคอลส์ในไตรมาส1/2562 พบว่า ราคาวัตถุดิบ คือแนฟทาปรับตัวสูงขึ้นจากปลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นจาก50 เหรียญสหรัฐมาอยู่ที่ระดับ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล คงต้องจับตาดูว่าทิศทางราคาน้ำมันจะเป็นอย่างไร รวมทั้งความต้องการใช้ปิโตรเคมีในปีนี้ที่ยังประเมินไม่ได้ต้องรอความชัดเจนสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯในช่วงเดือนมี.ค.นี้ก่อน แต่ยอมรับว่าความต้องการใช้ในจีนเริ่มชะลอตัวลง ดังนั้นสิ่งที่บริษัทฯต้องเร่งรับมือ โดยหาตลาดส่งออกใหม่ๆเพิ่มเติมทั้งจีน อินเดีย และสหรัฐฯ รวมทั้งนำนวัตกรรมมาตอบโจทย์ความการของลูกค้าในรูปแบบโซลูชั่น
ส่วนความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศในปีนี้โต 3-5% โดยครึ่งปีแรกนี้ยังเติบโตต่อเนื่องจากปลายปีที่แล้ว เนื่องจากมีความต้องการใช้เพิ่มในโครงสร้างพื้นฐานและการฟื้นตัวของอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ตลาดปูนซีเมนต์ในภูมิภาคอาเซียนคาดว่าจะขยายตัว 5-10%