ออมสินปรับจีดีพีไทยปีนี้โต4.6%
“ออมสิน” มั่นใจเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง เล็งประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ ขยายตัวเป็น 4.6% ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัวอยู่ที่ 3.9% พร้อมชูนนโยบายรัฐหนุนอีอีซี สร้างความมั่นใจนักลงทุน
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจ และเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน คาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2561 จะขยายตัวต่อเนื่องที่ 4.6% และตลอดทั้งปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นอยู่ที่ 4.6% ปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัวอยู่ที่ 3.9% เป็นผลจากแรงส่งของภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่คาดว่า จะขยายตัวต่อเนื่อง ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งด้านการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ ที่จะช่วยให้การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมี
การปรับตัวดีขึ้น โดยเศรษฐกิจไทยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1.การปรับตัวดีขึ้นของการใช้จ่ายภาครัฐ จากการผ่านพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบกลางปี 2561 วงเงินจำนวน 150,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก และชุมชนอย่างต่อเนื่อง 2.การลงทุนภาครัฐ คาดว่าจะปรับตัวเร่งขึ้นจากการลงทุนในโครงการปัจจุบันและโครงการที่เลื่อนมาจากปีที่ผ่านมา ประกอบกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่เริ่มมีความชัดเจน ส่งผลให้ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น สะท้อนจากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซีผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.การดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารแห่งประเทศไทย เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ระดับ 2.5 ± 1.5 อย่างยั่งยืน 4.ประเทศไทยยังเป็นเป้าหมายในการพักผ่อนของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน เอเชีย และตะวันออกกลาง รวมถึงการประชุมสัมมนาต่างๆ ที่ขยายตัวต่อเนื่อง และ5.เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้มีความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) เพิ่มมากขึ้น
สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2561 ได้แก่ 1.กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ อาจส่งผลให้ การเบิกจ่ายงบ ประมาณล่าช้ากว่ากำหนด 2.รายได้ของภาคครัวเรือนระดับกลางถึงล่างยังปรับตัวเพิ่มไม่มากนัก ส่งผลต่อการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค 3.หนี้ครัวเรือนที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ภาคครัวเรือนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น 4.มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐและมาตรการตอบโต้ทางการค้าของประเทศคู่ค้า อาจส่งผลกระทบให้การค้าโลกชะลอตัวลง 5. ทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่มีแนวโน้มตึงตัวมากยิ่งขึ้น เป็นแรงกดดันต่อการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารแห่งประเทศไทย
ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี จากดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นผลจากการเกินดุลการ ค้าและบริการที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และคาดว่าเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำเป็นระยะเวลานานอาจทำให้เกิดพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น (search for yield) เนื่องจากผู้ลงทุนประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าความเป็นจริง ประกอบกับหากธนาคารกลางสหรัฐสามารถปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ตามเป้าหมายจะทำให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยนโยบายห่างกันมากขึ้น จะส่งผลให้เงินทุนไหลออกต่อเนื่อง และอัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนมากยิ่งขึ้น.