เงินเฟ้อพื้นฐานพุ่งเกือบ1%
เงินเดือนพ.ค.พุ่ง ตามภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นหลังจากสภาพัฒน์ปรับจีดีพีปีนี้ 4.2-4.7% จากเดิม 3.6-4.6% ขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นเป็นแรงกดดันเงินทั่วไปปรับขึ้น 1.38% และเงินเฟ้อพื้นฐานปรับขึ้น 0.83%
กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) ในเดือนมิ.ย.2561 อยู่ที่ 102.05 ขยายตัว 1.38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่หากเทียบเดือน พ.ค.61 ลดลง 0.09% ส่วนเงินฟ้อพื้นฐาน (CORE CPI) เดือน มิ.ย.2561 อยู่ที่ 102.06 ขยายตัว 0.83% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และขยายตัว 0.11% จากเดือน พ.ค.61
ขณะที่ดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์อยู่ที่ 102.02 ลดลง 0.03% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 0.15% เมื่อเทียบกับเดือน พ.ค.61 ขณะที่ดัชนีหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มอยู่ที่ 102.09 ขยายตัว 2.20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 0.05% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค.61
ด้านช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.) CPI ขยายตัวเฉลี่ย 0.97% ส่วน CORE CPI ขยายตัวเฉลี่ย 0.69%
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน จาก 0.7-1.7% เป็น 0.8-1.6% และอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยน่าจะอยู่ในกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินระยะปานกลางที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ 2.5±1.5%
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.38% แต่ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้า (พ.ค.61) ที่อัตราเงินเฟ้อ 1.49% แต่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 โดยมีสาเหตุสำคัญจากการปรับเพิ่มขึ้นของหมวดพลังงานที่ยังปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 19 ในขณะที่อาหารสดปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยช่วงครึ่งแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.) เพิ่มขึ้น 0.97%
ทั้งนี้ หากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือน มิ.ย.61 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกัน 12 เดือน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของหมวดพลังงานเป็นหลัก โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้น 12.90% จากการสูงขึ้นของน้ำมันเชื้อ เพลิงทุกประเภท รวมทั้งก๊าซรถยนต์ รองลงมาเป็นหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 5.86% หมวดเคหะสถาน สูงขึ้น 1.12% หมวดการตรวจรักษาและการบริการส่วนบุคคล สูงขึ้น 0.65% หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า สูงขึ้น 0.55% เป็นต้น
สำหรับการเปลี่ยนแปลงราคาของสินค้าในเดือนมิ.ย. รวมทั้งสิ้น 422 รายการที่ใช้ในการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค พบว่ามีสินค้าที่ราคาสูงขึ้น 217 รายการ ได้แก่ ข้าวสารเจ้า, กาแฟสำเร็จรูปพร้อมดื่ม, น้ำมันเชื้อเพลิง, ก๊าซหุงต้ม, ค่ากระแสไฟฟ้า, ค่าเช่าบ้าน, บุหรี่ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่ราคาลดลง 125 รายการ ได้แก่ เนื้อสุกร, น้ำมันพืช, ไข่ไก่, ไก่สด, สับปะรด, ครีมนวดผม, น้ำยาล้างจาน, โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ในขณะที่สินค้าอีก 80 รายการราคาไม่เปลี่ยนแปลง
น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับประมาณการเงินเฟ้อใหม่ให้แคบลงมาอยู่ที่ 0.8-1.6% จากเดิม 0.7-1.7% เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ระดับ 1.2% ซึ่งอยู่ในกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินระยะปานกลางของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลังที่กำหนดไว้ที่ 1-4%
“เราได้ปรับคาดการณ์เงินเฟ้อปีนี้ให้แคบลงมาอยู่ที่ 0.8-1.6% ซึ่งตอนนี้ถือว่าเกินกรอบล่างแล้ว เพราะล่าสุดครึ่งปีแรกอยู่ที่ 0.97% คาดว่าทั้งปีจะได้ 1.2% แน่นอน ส่วนไตรมาส 3 คาดว่าอยู่ที่ 1.35% และไตรมาส 4 อยู่ที่ 1.5%”
พร้อมระบุว่า การปรับอัตราเงินเฟ้อยังมีสาเหตุมาจากที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 4.2-4.7% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ในช่วง 3.6-4.6% นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังมีแนวโน้มสูงขึ้น สนค.จึงได้ปรับประมาณการราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 60-70 ดอลลาร์/บาร์เรล จากเดิม 55-65 ดอลลาร์/บาร์เรล ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนยังคงเดิมในกรอบ 32-34 บาท/ดอลลาร์
จากแนวโน้มเงินบาทที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ได้ส่งผลให้รายได้จากการส่งออกไทยในรูปของเงินบาทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นนั้น ส่งผลดีต่อราคาสินค้าเกษตร และอาหารที่มีแนวโน้มดีขึ้น สอดคล้องกับรายได้ภาคเกษตร เช่น กลุ่มข้าว, มันสำปะหลัง และข้าวโพดที่มีราคาขายในประเทศสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการบริโภคในประเทศให้ฟื้นตัวขึ้นได้ในระยะต่อไป
“พอเงินบาทอ่อน ก็มีรายได้ในรูปของเงินบาทเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร ที่ราคาขายในประเทศสูงขึ้น ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นตาม ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้การบริโภคฟื้นตัวได้ต่อไป”.