เมียนมาขยายล็อกดาวน์รัฐยะไข่ ครอบคลุม 1 ล้านคน
เมื่อวันที่ 26 ส.ค. เมียนมาขยายมาตรการล็อกดาวน์รัฐยะไข่ที่มีความขัดแย้งรุนแรงด้านชาติพันธุ์ ให้ครอบคลุมเพิ่มอีก 4 เมือง เพื่อเป็นการหยุดการเคลื่อนที่ของประชากรประมาณ 1 ล้านคน เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด -19 รายใหม่อีก 100 รายทั่วเมียนมาในรอบ 24 ชม. ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมของเมียนมาเพิ่มขึ้นเป็น 574 ราย โดยรัฐยะไข่ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศยังคงมีอัตราส่วนผู้ติดเชื้อสูงที่สุด
รัฐยะไข่เป็นหนึ่งในรัฐที่ยากจนที่สุดของเมียนมา โดยขาดความสะดวกสบายด้านสาธารณสุขและการเข้าถึงการศึกษาในพื้นที่ห่างไกล
นอกจากนี้ ยังเป็นรัฐที่มีชาวมุสลิมโรฮิงญาอาศัยอยู่ประมาณ 130,000 คน โดยพวกเขาต้องอพยพจากความขัดแย้งที่รุนแรงและอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย ซึ่งองค์การแอมเนสตีสากลบรรยายว่า พวกเขาถูกเหยียดเชื้อชาติ
ขณะที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ยะไข่อีก 150,000 คน ที่ต้องกระจัดกระจายอยู่ทั่วรัฐจากเหตุปะทะระหว่างทหารเมียนมากับกลุ่มกบฎชาติพันธุ์ในรัฐยะไข่
เมืองชิตเว เมืองหลวงของรัฐยะไข่ถูกล็อกดาวน์ และมีประกาศใช้มาตรการเคอร์ฟิวตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว และในวันที่ 26 ส.ค. มีการขยายมาตรการล็อกดาวน์ให้ครอบคลุมอีก 4 เมือง คือ เมืองเจาะพยู อ้าน ตองโกะ และตานดแว
“ประชาชนจากสี่เมือง ต้องอยู่แต่ในบ้าน” อ้างอิงจากคำสั่งที่รายงานโดยหนังสือพิมพ์ของรัฐคือ Global New Light of Myanmar โดยเสริมว่า มีแต่พาหนะของทางการที่ได้รับอนุญาตให้ขนส่งประชาชนได้
ยังมีข้อยกเว้นให้ข้าราชการและแรงงานในโรงงาน และสมาชิกเพียงคนเดียวของแต่ละครัวเรือนจะสามารถออกมาซื้อสิ่งของจำเป็นได้
ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาพุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเวลาที่ประเทศเตรียมตัวเลือกตั้ง ก่อให้เกิดความกังวลว่า อาจส่งผลกระทบกับการเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย.นี้
รัฐยะไข่มีความขัดแย้งด้านชาติพันธุ์และศาสนามายาวนาน โดยเมืองชิตเวมีชาติพันธุ์ยะไข่อาศัยอยู่กว่า 318,000 คน ขณะที่อีก 4 เมืองที่ถูกล็อกดาวน์ตั้งแต่ 26 ส.ค.มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 560,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์ยะไข่
แต่ที่ไม่ทราบจำนวนแน่นอนคือชาวมุสลิมโรฮิงญาที่อาศัยอยู่ในค่ายที่สกปรกใกล้เมืองชิตเว ที่มีการต่อสู้มายาวนานเพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมืองและสิทธิพื้นฐานด้านการรักษาพยาบาล
สหประชาชาติประกาศเมื่อวันที่ 26 ส.ค.ว่า เจ้าหน้าที่บางคนที่ทำงานอยู่ในค่ายและรอบรัฐยะไข่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา
โดยยูเอ็นแสดงความเป็นเอกภาพกับประชาชนในยะไข่ และทุกคนที่ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งเป็นศัตรูที่ไม่มีการแบ่งแยกชาติพันธุ์หรือศาสนา
แต่ชาวเมืองหลายคนแสดงความกังขาว่า โควิด-19 ไม่น่าจะแพร่ระบาดได้รวดเร็วมากในพื้นที่ชนบทห่างไกล
“ ผมจะเชื่อก็ต่อเมื่อผมเห็นกับตาตัวเอง” ชาวเมืองเจาะพยูวัย 40 ปีคนหนึ่งกล่าวให้สัมภาษณ์สื่อ