มาเลเซียติดเชื้อทะลุ 4 พันราย
กัวลาลัมเปอร์ : เมื่อวันที่ 8 เม.ย. มาเลเซียรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มอีก 156 ราย ทำให้ตัวเลขผู้ป่วยสะสมของประเทศพุ่งเกิน 4,000 รายไปแล้ว
โดยจำนวนผู้ติดเชื้อในมาเลเซียทะลุ 3,000 รายในวันที่ 2 เม.ย. จนถึงตอนนี้ มีจำนวนผู้ป่วยสะสมทั้งหมด 4,119 ราย ทำให้มาเลเซียเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากโควิด-19 ในกลุ่มประเทศอาเซียน
ดร.นูร์ ฮิชาม อับดุลเลาะห์ อธิบดีกรมสุขภาพประกาศในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 8 เม.ย.ว่า มาเลเซียมีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย ทำให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตทั้งหมดอยู่ที่ 65 ราย
ทั้งนี้ มีจำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายและออกจากโรงพยาบาลได้แล้วเพิ่มอีก 166 ราย
1 ใน 2 ของผู้เสียชีวิตเป็นหญิงชาวมาเลเซียวัย 58 ปี และอีกรายเป็นชายชาวปากีสถาน วัย 69 ปี ที่รักษาตัวในโรงพยาบาลกัวลาลัมเปอร์ ผู้เสียชีวิตทั้งสองรายมีโรคประจำตัว โดยผู้ป่วยหญิงเป็นโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ขณะที่ผู้ป่วยชาวปากีสถานมีประวัติการเดินทางไปร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่มัสยิดศรี เปตาลิง ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยมากถึง 1,682 รายในประเทศ
โดยเขาเสริมว่า จนถึงตอนนี้ มีชาวต่างชาติ 154 รายที่เป็นผู้ป่วยติดเชื้อ
แหล่งแพร่ระบาดโควิด-19 แห่งใหม่คือเรมเบา ในรัฐเนอเกอรี เซมบิลัน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ศรี เปตาลิง โดยหนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาอิสลามได้เข้าร่วมประชุมโรงเรียนในเรมเบา จนถึงตอนนี้มีผู้ป่วยติดเชื้อ 27 ราย และรักษาในห้องไอซียู 2 ราย
“ จากการสอบสวนโรคชี้ว่า มีการไปเยือนบ้านของญาติที่มีอาการไม่สบาย แม้ประเทศจะอยู่ภายใต้คำสั่งห้ามเดินทางก็ตาม” ดร.นูร์ ฮิชามระบุ
ภายใต้คำสั่งห้ามเดินทาง ประชาชนทุกคนต้องอยู่บ้าน ขณะที่บริการที่ไม่สำคัญถูกปิดหมด
ดร.นูร์ ฮิชามระบุว่าผลของมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดได้ผลดี ในแง่ของการตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อรายใหม่และการควบคุมการระบาดของไวรัส
เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการขยายเวลาของมาตรการออกไป ซึ่งเดิมจะมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 14 เม.ย. ดร.นูร์ ฮิชามระบุว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขจับตาจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้น และการกระจายทั่วประเทศ และยังไม่มีการเพิ่มแบบทวีคูณในแง่ของผู้ติดเชื้อรายใหม่
“แม้ว่าเราจะยังไม่ชนะสงคราม แต่เราก็ไม่แพ้สงคราม” เขากล่าว โดยเสริมว่าทางกระทรวงจำเป็นต้องมีรูปแบบการประเมินตัวเลขผู้ป่วยและข้อมูล และเสนอให้คณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีมูห์ยิดดิน ยัสซินเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานประกอบในการตัดสินใจ