เวียดนามผงาดจากสงครามการค้า
สงครามการค้าที่ยืดเยื้อระหว่างสหรัฐฯกับจีนกำลังจัดระเบียบใหม่ให้กับซัพพลายเชนทั่วโลก และเวียดนามอาจยืนเด่นเป็นผู้ชนะสำหรับนักลงทุน จากความเห็นของผู้บริหารอาวุโสของบริษัทลงทุนของสหรัฐฯ General Atlantic
Sandeep Naik ผู้บริหารภูมิภาคอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ General Atlantic ระบุว่า เนื่องจากบริษัทอเมริกันจำนวนมากมีแผนย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะได้รับประโยชน์มากที่สุด
“ หากคุณมองที่ภาคส่วนอุตสากรรมรถยนต์และเคมีภัณฑ์ คุณจะเห็นการไหลออกของโอกาสในการผลิตที่มุ่งไปที่เวียดนาม” เขากล่าว โดยเสริมว่า ประชาคมนักลงทุนจับตามองอย่างใกล้ชิดสำหรับจุดหมายปลายทางใหม่ในการลงทุนในภูมิภาค
General Atlantic มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ( 1.07 ล้านล้านบาท ) ที่บริษัทบริหารจัดการอยู่ โดยบริษัทลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงใน 4 ภาคส่วนหลัก คือ ผู้บริโภค , บริการทางการเงิน , การดูแลสุขภาพและเทคโนโลยี
“ เรามองว่าเวียดนามเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจมากในจุดนี้” Naik กล่าว “ เมื่อฐานการผลิตย้ายไปเวียดนาม จะมีการจ้างงานที่นั่นมากขึ้น ผู้คนมีรายได้สูงขึ้น นั่นจะเป็นการเริ่มต้นแนวโน้มการบริโภค”
ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งระบุว่าเวียดนาม ซึ่งส่งออกชิ้นส่วนโทรศัพท์ ,เฟอร์นิเจอร์ , เครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ จะผงาดขึ้นมาเป็นประเทศที่ได้ประโยชน์มากที่สุดจากสงครามการค้า
เขาเสริมว่า มีโอกาสใหม่ๆสำหรับบริการทางการเงินด้วย โดยอธิบายว่าบริษัทผู้ผลิตที่ย้ายไปเวียดนามต้องการเครดิตด้านการเงิน
“ดังนั้น การให้เครดิตกับบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง หรือให้เครดิตกับหน่วยการผลิตขนาดกลาง จะเป็นการหนุนให้อุตสาหกรรมการเงินเติบโต” Naik ระบุ
แต่เขาย้ำว่านักลงทุนต้องเจอกับปัญหาอีกมาก หากมีการดำเนินธุรกิจในเวียดนาม
“เราต้องมีคนช่วยนำทางเราเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่หากคุณดูในส่วนเงินลงทุนจากต่างประเทศที่เกิดขึ้นในเวียดนาม คุณจะเห็นว่าเวียดนามเปิดประตูต้อนรับเรา”
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายรายเตือนว่าเวียดนามอาจมีความท้าทายอื่นๆรออยู่
เมื่อเร็วๆนี้ ประธานและซีอีโอของสหพันธ์ธุรกิจสหรัฐฯ – อาเซียนให้สัมภาษณ์สื่อ CNBC ว่าตลาดแรงงานในเวียดนามตึงตัวมาก และนักลงทุนหลายรายกำลังมองหาหนทางย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นในอาเซียนแทน
ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศมหาอำนาจร้อนระอุขึ้น หลังจากจีนประกาศขึ้นภาษีใหม่อีกมูลค่า 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐกับสินค้าอเมริกัน เพื่อตอบโต้ภาษีที่สหรัฐฯประกาศขึ้นในเดือนส.ค.
และเพื่อเป็นการโต้กลับจีน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่ารัฐบาลของเขาจะขึ้นภาษีมูลค่า 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐกับสินค้าจีนเป็นอัตรา 30% จากเดิม 25% ในวันที่ 1 ต.ค. โดยเสริมว่า จะขึ้นภาษีกับสินค้าจีนมูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย.นี้ ในอัตรา 15% จากเดิม 10%.