NEWS

ดูแล้ว: 25 LPN เร่งสปีดสร้างรายได้ก่อนสิ้นปี เตรียมส่งมอบคอนโดมิกซ์ยูสแห่งแรกบนถนนวิภาวดีรังสิต ทั้งออฟฟิศและอาคารชุดพักอาศัย ครบครันเพื่อวันทำงานและการใช้ชีวิตภายใต้คอนเซ็ปต์ “Work &... อ่านต่อ

ดูแล้ว: 42 คลังปรับเกณฑ์ มาตรการ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” สั่งปลดล็อก “กระเป๋า 2” ใช้จ่ายได้ทั่วประเทศ พร้องรับเพิ่มอีก 2 ล้านคน แลกตัดสิทธิ์ แจกเงิน 1,000 บาทใน “กระเป๋าแรก” พร้อมดึงร้านค้าและโรงแรมรายใหญ่ร่วมงาน ย้ำยึดใช้จ่ายผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” ที่ปรับการใช้ง่ายขึ้น ระบุขยายสิทธิ์ใช้จ่ายถึง 31 ม.ค.63 นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กล่าวถึงมาตรการ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” ว่า หากไม่มีอะไรผิดพลาด วันพรุ่งนี้ (12 พ.ย.) คงจะมีการพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทั้งนี้ หากที่ประชุม ครม.เห็นชอบกับข้อเสนอของกระทรวงการคลัง โดยเฉพาะการ “ปลดล็อก” การใช้จ่ายเงินผ่าน “กระเป๋าที่ 2” ที่จะเปิดรับสมัครคนกลุ่มใหม่เพิ่มเติมอีก 2 ล้านคน จากของเดิมที่ได้ดำเนินการเปิดรับไปแล้ว 13 ล้านคน รวมเป็น 15 ล้านคน ซึ่งทั้งหมดจะสามารถใช้จ่ายเงินผ่าน “กระเป๋าที่ 2” เพื่อรับเงินคืน 15% ในส่วนของวงเงิน 1 – 30,000 บาท และรับเงินคืนอีก 20% ในส่วน 30,001 – 50,000 บาท โดยจะใช้จ่ายได้กับร้านค้าในทุกพื้นที่ทั้ง 77 จังหวัด จากเดิมที่เคยจำกัดการใช้จ่ายในจังหวัดตามบัตรประชาชน พร้อมกับขยายเวลาการใช้จ่ายจากสิ้นเดือน ธ.ค.62 เป็น 31 ม.ค.63 “มาตรการ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” จะปลดล็อกการใช้จ่ายเงิน ผ่าน “กระเป๋าที่ 2” โดยให้ใช้จ่ายได้ในทุกพื้นที่ทั้ง 77 จังหวัด แต่รอบนี้ กระทรวงการคลังจะพิจารณายกเลิกการมอบเงิน 1,000 บาทใน “กระเป๋าที่ 1” โดยทั้งหมดจะต้องผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้เสียก่อน” รมว.คลัง ระบุ และว่า... อ่านต่อ

ดูแล้ว: 18 รมว.อุตสาหกรรม หนุนข้อเสนอ พัฒนาต้นแบบระบบการตัดอ้อยสดและบรรทุกอ้อยเข้าโรงงาน ดันเข้าครม.พรุ่งนี้หวังลดต้นทุน ลดมลพิษ และลดความเดือดร้อนของชุมชน นายสุริยะ... อ่านต่อ

ดูแล้ว: 23 EXIM BANK ชี้ผู้ส่งออกไทยต้องบุกตลาดใหม่ ควบคู่ขยายการลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่ออนาคต เพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้าและแข่งขันได้ในโลกยุคใหม่ EXIM BANK... อ่านต่อ

ดูแล้ว: 30 ครม.ไฟเขียวประกันรายได้เกษตรกปลูกมันสำปะหลัง 5.4 แสนราย วงเงิน 9,600 ล้านบาท ตั้งราคารับประกัน 2.50 บาท/กก. เชื้อแป้ง 25% ขีดเส้น 100 กก./ครัวเรือน จี้ ธ.ก.ส.โอนเงินส่วนต่างเข้ากระเป๋าเกษตรกรงวดแรกวันที่ 1 ธ.ค.62 เผยโครงการ ปชป. ครอบคลุม “ข้าว-ปาล์ม-น้ำมัน-ยางพารา-มันสำปะหลัง” วงเงิน 6.8 หมื่นล้านบาทแล้ว น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เห็นชอบโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังปี 62/63 วงเงิน 9,671 ล้านบาท ตามที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์เสนอ คาดมีเกษตรกรลงทะเบียนรับสิทธิ์ประกันรายได้ราว 540,000 ราย โดยหัวมันสำปะหลังสด เชื้อแป้ง 25% กำหนดราคาและปริมาณประกันรายได้ 2.50 บาท/กก. ครัวเรือนละไม่เกิน 100 ตัน โดยผู้มีสิทธิได้รับเงินส่วนต่าง คือ เกษตรกรทุกรายที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูก และแจ้งระยะเวลาเก็บเกี่ยวกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรฯ ภายใต้เงื่อนไข “เกษตรกรหนึ่งครัวเรือน ใช้สิทธิได้ 1 ครั้ง” โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะเข้ามาชดเชยและโอนเงินชดเชยส่วนต่าง ระหว่างราคาเป้าหมายกับราคาเกณฑ์อ้างอิง เข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง ทั้งนี้ รัฐบาลจ่ายเงินส่วนต่างครั้งแรกวันที่ 1 ธ.ค.62 และจ่ายต่อไปทุกวันที่ 1 ของเดือน รวม 12 เดือน โดยเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่ 1 ธ.ค.62 ให้มีสิทธิรับเงินชดเชยในวันที่ 1 ธ.ค.62 รวมระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.62 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.63 รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า กระทรวงพาณิชย์ยังออกมาตรการคู่ขนานเพื่อรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ประกอบด้วย 1.การดูแลความเป็นธรรมในการซื้อขายมันสำปะหลัง กำหนดให้มีการตรวจสอบคุณภาพ การหักน้ำหนักสิ่งเจือปน เป็นต้น  2.การบริหารจัดการนำเข้าส่งออก โดยกรมการค้าต่างประเทศต้องกำกับดูแลอย่างจริงจัง  และต้องตรวจสอบคุณภาพให้เป็นไปตามาตรฐาน พร้อมลงโทษผู้กระทำผิดตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด  3.โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลัง โดยให้ ธ.ก.ส.จัดสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนในการพัฒนาการผลิตและลดต้นทุนของเกษตรกรโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม จัดสินเชื่อเป้าหมาย 5,000 ราย รายละไม่เกิน 230,000 บาท รวมวงเงินกู้รวม 1,150 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 3%  ... อ่านต่อ

ดูแล้ว: 148 ครม. เห็นชอบตามข้อเสนอ ก.พาณิชย์ อนุมัตินำเข้ารถแทรกเตอร์มือสอง ราคาถูกกว่าของใหม่ 5 เท่าตัว หวังลดต้นทุนแก่ภาคการเกษตร ย้ำไม่กระทบอุตสาหกรรมผลิตรถแทรกเตอร์ในไทย น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้ออกประกาศ เรื่องกำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้าม หรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.2562 เพื่อป้องกันปัญหามลพิษและการหลบเลี่ยงมาตรการควบคุม โดยมติดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้วันที่ 10 ธ.ค.62 นี้ แต่เนื่องจากมีเกษตรกรชาวไร่อ้อย ได้รับความเดือดร้อนจากประกาศข้าง เนื่องจากการห้ามนำเข้ารถยนต์ใช้แล้วนั้น ครอบคลุมถึงรถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตรใช้แล้ว (รถแทรกเตอร์มือสอง) ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น หากต้องซื้อรถใหม่ที่ราคาแพงกว่ามาก ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จึงได้เสนอให้ ครม.พิจารณาอนุมัติ แก้ไขเพิ่มเติมจากฉบับเดิม โดยกำหนดให้รถแทรกเตอร์ใช้แล้วเพื่อการเกษตรสำเร็จเต็มรูปคัน ตามพิกัดอัตราศุลกากร 87.01  เช่น รถแทรกเตอร์ตีนตะขาบล้อยาง และรถแทรกเตอร์ล้อยางกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 18 กิโลวัตต์ เป็นสินค้าที่สามารถนำเข้ามาในราชอาณาจักรได้อย่างเสรี เพื่อช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกร เพิ่มทางเลือกในการซื้อเครื่องจักรกลทางเกษตร และส่งเสริมให้เกิดอาชีพช่างในชุมชน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผู้นำเข้าและผู้ผลิตรถแทรกเตอร์ใหม่เพื่อการเกษตร ไปด้านนายกีรติ์ รัชโน ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ รักษาแทนอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า การอนุญาตให้นำเข้ารถแทรกเตอร์เก่าใช้แล้วนำเข้าประเทศไทย จะทำให้ต้นทุนภาคการเกษตรกรของไทยลดลง เพราะรถแทรกเตอร์ใหม่มีราคาแพงถึง 10 ล้านบาทต่อคัน ขณะที่รถแทรกเตอร์เก่าหรือรถมือสอง จะมีราคาประมาณ 2-3 ล้านบาท  ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์สอบถามยังผู้ประกอบการรถแทรกเตอร์ในประเทศไทย และได้รับคำตอบว่าการนำเข้ารถแทรกเตอร์เก่ามือสอง จะไส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตภายในประเทศ ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จึงเสนอเรื่องดังกล่าวให้ ครม.พิจารณาตามที่เป็นข่าวข้างต้น.... อ่านต่อ