มีงานรองรับเพิ่มในสหรัฐฯ
จากผลการสำรวจในภาคเอกชน บริษัทในสหรัฐอเมริกามีตำแหน่งงานเพิ่มถึง 200,000 งานที่สามารถรองรับผู้มองหางานในเดือนมี.ค.นี้
เมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมาหน่วยงานประมวลข้อมูล (ADP)ที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ภาพรวมให้องค์กรต่างๆของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยข้อมูลว่าบริษัทที่ให้บริการทางการเงินยังคงมีความต้องการพนักงานเป็นจำนวนมาก ขณะที่ปริมาณการจ้างงานในภาคการผลิตไม่เพิ่มขึ้นมากนัก
จากข้อมูลชี้ให้เห็นถึงสภาพ เศรษฐกิจที่ยังคงมีการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีความกังวลถึงตัวเลขการเติบโตใน 3 เดือนแรกของปีนี้ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเศรษฐกิจทั่วโลกและการใช้จ่ายที่ระมัดระวังมากขึ้นของผู้บริโภค
มีการเผยแพร่รายงานของเอดีพีสองวันก่อนที่จะมีรายงานอย่างเป็นทางการของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยรายงานของเอดีพีครอบคลุมเฉพาะตำแหน่งงานในธุรกิจภาคเอกชนและมักจะแตกต่างจากตัวเลขที่เป็นทางการของภาครัฐ
ผลการวิเคราะห์ของนักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทข้อมูลแฟคท์เซ็ทคาดการณ์ว่า มีการจ้างงานชาวอเมริกันเพิ่มขึ้น 200,000 งานในเดือนมี.ค. ลดลงมาจากตัวเลขเดิมในเดือนก.พ.คือ 240,000 งาน ในขณะที่อัตราการว่างงานของชาวอเมริกันอยู่ที่ 4.9%
นี่เป็นข้อมูลที่ย่ำแย่กว่าที่นักเศรษฐศาสตร์เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ จึงก่อให้เกิดความกังวลเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่พอสมควร
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้รายงานว่าผู้บริโภคในสหรัฐฯ ไม่ค่อยจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นนักในเดือนก.พ.หลังจากที่ตัวเลขเดือนม.ค.แสดงให้เห็นว่าชาวอเมริกันใช้จ่ายน้อยกว่าที่คาดการณ์ค่อนข้างมาก ตัวเลขเหล่านี้มีผลทำให้นักวิเคราะห์หลายคนลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกลง
ธนาคารกลางของสหรัฐฯ ในแอตแลนต้าได้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะขยายตัวเพียง 0.6% ในปีนี้ ซึ่งนับว่าต่ำกว่าตัวเลข 1.4% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 ค่อนข้างมาก
จากสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา ทำให้นักวิเคราะห์กังวลว่าจะส่งผลให้ตัวเลขการจ้างงานลดลงตามไปด้วย แต่จากตัวเลขการสำรวจของเอดีพี ชี้ให้เห็นว่ายังคงมีงานรองรับชาวอเมริกันอยู่ค่อนข้างมาก
นายพอล แอชเวิร์ธ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำบริษัทแคปปิตัล อิโคโนมิสท์ ให้ความเห็นว่า “การถดถอยของตลาดแรงงานชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่มีปัญหามากนัก”
นายมาร์ค แซนดิ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำสถาบันวิเคราะห์เศรษฐกิจมูดี้ส์ ที่รวบรวมข้อมูลจากเอดีพี มองว่าตัวเลขจีดีพี มีโอกาสที่จะปรับสูงขึ้นได้ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า เขาให้ความเห็นว่า
“การจะตัดสินว่าเศรษฐกิจดีหรือไม่ดี ไม่ควรดูจากจีดีพีเท่านั้น สำหรับผม ผมไม่เคยสนใจตัวเลขจีดีพีเลย ผมจะดูจากจำนวนงานมากกว่า ถ้ายังมีงานให้ทำอยู่ ก็ถือว่าเศรษฐกิจยังดีอยู่”