คปภ.เตือน “ทุกกลุ่มประกันฯ” รับมือ กม.ใหม่
คปภ. เตือนสึนามิวงการประกันภัย หลัง 2 กฤหมายใหม่มีผลบังคับใช้แล้ว ชี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ “ตัวแทนประกันภัย – นายหน้าประกันภัย – ผู้ประเมินวินาศภัย – บริษัทประกันภัย” จำต้องเร่งปรับตัวด่วน เหตุเล่นแรงถึงอาญา
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เป็นประธานเปิดงานสัมมนา “โครงการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายแม่บทด้านการประกันภัย (กลุ่มที่ 1) และการปฏิบัติตามประกาศที่เกี่ยวข้องกับการชดใช้เงินหรือค่าสินไหมทดแทนของบริษัทประกันภัย” เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2562 ณ โรงแรม ดิเอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 ที่มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. 2562 รวมถึงสร้างความเข้าใจร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัยในการปฏิบัติตามประกาศของสำนักงาน คปภ. ที่เกี่ยวข้องกับการชดใช้เงินหรือค่าสินไหมทดแทนของบริษัทประกันภัยและการได้รับบริการด้านการประกันภัยของประชาชน
เลขาธิการ คปภ. กล่าวปาฐกถาพิเศษ ความตอนหนึ่งว่า กฎหมายที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมและนมีผลบังคับใช้นั้นมีความเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยในหลายภาคส่วนที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ โดยในส่วนของตัวแทนประกันภัยและนายหน้าประกันภัยมีการปรับปรุงเกี่ยวกับการกำหนดคุณสมบัติ กรณีที่ถือเป็นลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะขอรับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันภัยและนายหน้าประกันภัย ทั้งรูปแบบบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล มีความเข้มข้นมากขึ้น โดยกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อวางมาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่ของตัวแทนประกันภัยและนายหน้าประกันภัยให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งการปรับปรุงเกี่ยวกับมาตรการลงโทษ ซึ่งแต่เดิมจะมีแค่การเพิกถอนใบอนุญาตเท่านั้น แต่กฎหมายใหม่ได้เพิ่มมาตรการพักใช้ใบอนุญาต รวมทั้งโทษปรับและจำคุก เพื่อให้มีมาตรการลงโทษที่เหมาะสมและได้สัดส่วนกับการกระทำความผิดที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ กลุ่มผู้ประเมินวินาศภัยก็ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการประกอบกิจการด้วย จาก ซึ่งมีเพียงผู้ประเมินวินาศภัยที่เป็นบุคคลธรรมดา แต่กฎหมายใหม่มีการกำหนดให้มีเพียงใบอนุญาตผู้ประเมินวินาศภัยประเภทนิติบุคคลเท่านั้น เนื่องจากการประกอบธุรกิจประเมินวินาศภัยปัจจุบัน ส่วนใหญ่ผู้ประเมินวินาศภัยบุคคลธรรมดาจะรวมตัวกันดำเนินการภายใต้รูปแบบนิติบุคคล โดยการกำกับดูแลผู้ประเมินวินาศภัยตามกฎหมายใหม่นี้ได้วางกรอบให้ผู้ประเมินวินาศภัยนิติบุคคลต้องมีระบบธรรมาภิบาลและบริหารจัดการที่เหมาะสมกับรูปแบบการทำงานของตนเอง โดยผู้ประเมินวินาศภัยนิติบุคคลจะมีหน้าที่รับผิดชอบกำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบและประเมินวินาศภัยในสังกัดของตน ซึ่งการตรวจสอบและประเมินวินาศภัยจะสามารถดำเนินการได้หลากหลายประเภทมากขึ้น หากอยู่ในรูปแบบนิติบุคคลที่มีบุคคลากรผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาวิชาชีพ และการมีใบอนุญาตเพียงประเภทเดียวจะไม่สร้างภาระให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ
เลขาธิการ คปภ.กล่าวอีกว่า กฎหมายฉบับใหมายังมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับตัวแทนประกันภัย นายหน้าประกันภัย ผู้ประเมินวินาศภัย และบริษัทประกันภัย อีก 2 ประเด็นหลักๆ คือ ประเด็นแรก การดำเนินการใดๆ ที่กระทำโดยใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยสำนักงาน คปภ. สามารถกำหนดวิธีการในการดำเนินการไว้เป็นการเฉพาะได้ โดยในอนาคตอาจมีการกำหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการใช้นวัตกรรมทางด้าน Insurtech หรือ RegTech ใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในธุรกิจประกันภัย
และประเด็นที่สอง มีการกำหนดให้การฉ้อฉลประกันภัย เป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยประกันภัย ซึ่งเดิมความผิดเกี่ยวกับการฉ้อฉลประกันภัยไม่มีปรากฏอยู่ใน พ.ร.บ.ประกันชีวิต และ พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย ส่งผลให้หากเกิดกรณีที่เข้าข่ายเป็นการฉ้อฉลประกันภัยที่กระทบกับประชาชนทั่วไป และสำนักงาน คปภ. สามารถเข้าไปดำเนินการใดๆ กับผู้ที่กระทำความผิดได้ นอกจากนี้ยังสามารถดำเนินการจัดการกับการฉ้อฉลประกันภัยที่เกิดจากทั้งบุคคลที่อยู่ในธุรกิจประกันภัย และนอกธุรกิจประกันภัย โดยขณะนี้ สำนักงาน คปภ. อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และกระบวนการในการดำเนินการเมื่อพบเหตุฉ้อฉลประกันภัย
เลขาธิการ คปภ. ย้ำว่า การจัดการอบรมครั้งนี้ นอกจากจะให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายฉบับใหม่แล้ว สำนักงาน คปภ. ยังได้ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลให้บริษัทประกันภัยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์อย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย หรือการคืนเบี้ยประกันภัย ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประชาชนผู้ที่มาใช้บริการด้านการประกันภัยโดยตรง ที่จะได้รับการชดใช้เงินหรือค่าสินไหมทดแทนเมื่อเกิดเหตุตามที่ระบุไว้ในสัญญาประกันภัยได้อย่างรวดเร็ว และมีความสะดวกในการติดต่อเพื่อขอรับเงินดังกล่าว
โดยที่ผ่านมาสำนักงาน คปภ.ได้ออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการชดใช้เงินหรือค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย เพื่อกำหนดมาตรการในการจัดการจ่ายเงินหรือค่าสินไหมทดแทนของบริษัทประกันภัย ตั้งแต่กระบวนการรับแจ้งเหตุที่เรียกร้องเงินหรือค่าสินไหมทดแทน ช่องทางติดต่อประสานงาน ขั้นตอนกระบวนการพิจารณาจ่ายเงินหรือค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว ตลอดจนกระบวนการและขั้นตอนพิจารณาภายในบริษัทเมื่อมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับสัญญาประกันภัยเกิดขึ้น
ซึ่งประกาศฉบับดังกล่าวใช้บังคับมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2559 และสำนักงาน คปภ. พบว่า บริษัทประกันภัยยังมีจุดที่ต้องปรับปรุงในบางเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติตามประกาศดังกล่าว ทำให้อาจเกิดจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนหรือตีความถ้อยคำทางกฎหมายไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของตัวประกาศ รวมไปถึงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประวิงการใช้เงิน การจ่ายค่าสินไหมทดแทน และการคืนเบี้ยประกันภัย ซึ่งเป็นประกาศที่ใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 และ 2549 โดยเป็นการกำหนดเหตุที่จะถือว่าบริษัทประกันภัยมีการประวิงการจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทน หรือคืนเบี้ยประกันภัยแก่ประชาชนผู้ใช้บริการด้านการประกันภัย ซึ่งมีบทลงโทษแก่บริษัทประกันภัยที่กระทำการประวิงดังกล่าว
“กฎหมายแม่บทด้านการประกันภัยที่มีการแก้ไขนี้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนผู้ใช้บริการด้านการประกันภัยโดยตรง ทำให้ได้รับการชดใช้เงินหรือค่าสินไหมทดแทนเมื่อเกิดเหตุตามที่ระบุไว้ในสัญญาประกันภัยอย่างรวดเร็ว เป็นธรรม ซึ่งธุรกิจประกันภัยต้องมีการบริหารจัดการการเรียกร้องเงินหรือค่าสินไหมทดแทนอย่างยุติธรรม โปร่งใส และภายในระยะเวลาที่เหมาะสม อีกทั้งเป็นการป้องปรามการฉ้อฉลเกี่ยวกับการประกันภัย ทำให้การกำกับดูแลคนกลางประกันภัยเป็นไปตามมาตรฐานสากลด้านการประกันภัย ดังนั้นจึงต้องมีการปรับจูนแนวปฏิบัติให้ตรงกันเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นการเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบประกันภัยให้กับประชาชน” เลขาธิการ คปภ. กล่าวสรุป.