ลลิลฯ ปั๊มสต๊อกพร้อมโอนพันล้านหนุนรายได้
“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” มั่นใจทั้งปียอดขาย-รับรู้รายได้เข้าเป้า เผย 9เดือน กวาดยอดขาย 4,100 ล้านบาท งัดแคมเปญ “ชิล ช้อป ใช้” กระตุ้นกำลังซื้อช่วงโค้งส่งท้ายปี แจงบริหารสต๊อกพร้อมโอนในพอร์ต 1,000 ล้านบาท รองรับบุ๊ครายได้ทันที
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN กล่าวว่า ในปี 2562 บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวมที่ 5,300 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ สามารถสร้างยอดขายได้ 4,100 ล้านบาท และคาดว่าช่วงเดือนของปี จะเพิ่มยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ตัวเลขของการรับรู้รายได้ปีนี้ วางไว้ 4,650 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 2 ลลิลฯมียอดรับรู้รายได้คิดเป็น 48 %ของเป้าหมายทั้งปี ทั้งนี้การที่ยอดรับรู้รายได้ต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย เนื่องจากไตรมาส 2 เป็นช่วงที่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลงตามฤดูกาลขาย และจะกลับมาคึกคักในช่วงไตรมาส 3 – 4 ของปี จึงยังมั่นใจว่า ในส่วนของรายได้รับรู้ปีนี้จะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
“ในส่วนของ สต๊อกสินค้ารอการขายนั้น ลลิลฯจะสร้างพอร์ตให้พร้อมโอนต่อโครงการไว้ที่ 10 ยูนิต เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อในทันที ทำให้ ณ ปัจจุบัน ลลิลฯ มีสต๊อกพร้อมโอนอยู่ในมือประมาณ 300ยูนิต จาก 30โครงการที่อยู่ระหว่างการขาย รวมมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ลลิลฯยังสามารถรักษาอัตรากำไรเบื้องต้นได้ดี โดยปัจจุบันติดท็อปไฟว์ของตลาด ที่ยังคงรักษาอัตรากำไรเบื้องต้นไว้ได้ในระดับ 38-39% ซึ่งเป็นผลมาจากการควบคุมและบริหารจัดการต้นทุนได้มีประสิทธิภาพ แม้ว่าต้นทุนต่างๆ จะมีการปรับตัวขึ้นก็ตาม”
สำหรับไตรมาส 4 ปีนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ลลิลฯมีแผนจะออกแคมเปญ “ชิล ช้อป ใช้” ชิล คือ ผ่อนต่ำแบบชิลๆ ช้อป คือ การให้กิฟวอยเชอร์ สามารถนำไปแลกซื้อเฟอร์นิเจอร์ มูลค่ากว่า 200,000 บาทให้ลูกค้าไปช้อปกัน ใช้ คือ แจกไอโฟน 11 ให้ลูกค้าที่ ซื้อบ้านกับลลิลฯไปใช้ได้ก่อนใคร
นายชูรัชฎ์ กล่าวว่า โครงการที่เปิดตัวในปีนี้ รวม 9 โครงการใหม่ มูลค่า 6,000 ล้านบาท หลักๆ จะเป็นทำเลในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 80-90% ที่เหลืออีก 10-20% จะอยู่ในตลาดต่างจังหวัด ซึ่งในเดือนตุลาคม จะเปิดการขาย 1 โครงการแนวราบในอำเภอปลวกแดง จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นการสร้างความต่อเนื่องในการขยายตลาดไปในโซนตะวันออก เพื่อรองรับความต้องการ (ดีมานด์)ใหม่ที่ได้รับจากปัจจัยบวกจากโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งจะได้รับปัจจัยบวกจากการขยายตัวของการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ ที่เริ่มฟื้นตัวแล้ว
“ตลาดอสังหาฯจะเติบโตก็ต้องเป็นไปตามทิศทางของภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งทุกๆคนก็คาดว่า ในปี 2563 เศรษฐกิจจะกลับมาดีได้ จากการลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์ใหม่ๆจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจโดยรวม ธุรกิจอสังหาฯกลับมาพลิกฟื้นดีขึ้น”.