50 ประเทศงดใช้โบอิ้ง 737 Max
ในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา ความกังวลระดับนานาชาติถึงอันตรายที่เกิดจากเครื่องบินโบอิ้ง 737 Max ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเมื่อวันที่ 13 มี.ค.ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯประกาศเมื่อช่วงบ่ายว่า เขาสั่งห้ามใช้เครื่องบินโบอิ้ง 737 Max 8 และ 9 ทันที เนื่องจากมีเหตุเครื่องบินรุ่นนี้ตกถึง 2 ครั้งภายในเวลาไม่ถึง 6 เดือน
บริษัทโบอิ้งออกแถลงการณ์โดยระบุว่า ขอแนะนำให้ทั่วโลกระงับการใช้งานเครื่องบินโบอิ้ง 737 Max เป็นการชั่วคราว โดยตอนนี้มีถึง 50 ประเทศแล้วที่ประกาศแบนเครื่องบินรุ่นนี้ในน่านฟ้าของตัวเอง
วิกฤตความกังวลเกิดขึ้นเพียง 4 วันหลังเกิดโศกนาฎกรรมที่เครื่องบินโบอิ้ง 737 Max 8 ของสายการบินเอธิโอเปียตก หลังทะยานขึ้นบินได้เพียงไม่กี่นาที ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือ 157 รายเสียชีวิตทั้งหมด และสร้างความตื่นตระหนกกับหลายประเทศทั่วโลกที่ใช้งานเครื่องบินรุ่นนี้
โดยช่วงเช้าของวันที่ 14 มี.ค. คาดการณ์ว่า กล่องดำของเครื่องบินลำที่ตกจะถูกส่งถึงกรุงปารีสเพื่อการวิเคราะห์ และเพื่อตอบคำถามครอบครัวของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ยังคงโศกเศร้ากับการจากไปของผู้เป็นที่รัก
หุ้นของบริษัทโบอิ้งร่วงลงทันที 3% หลังคำประกาศห้ามใช้โบอิ้ง 737 Max ทั่วประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ แต่ในช่วงปิดการซื้อขายก็ขยับขึ้นมาเล็กน้อย แต่จากการประเมิน หลังจากโบอิ้งของเอธิโอเปียตกเมื่อวันที่ 10 มี.ค.มูลค่าหุ้นของบริษัทโบอิ้งหายไปแล้วกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 795,250 ล้านบาท
จีนเป็นประเทศแรกที่ประกาศแบนเครื่องบินโบอิ้งรุ่นนี้เมื่อวันที่ 11 มี.ค. ทำให้หลังจากนั้น หลายประเทศก็ทยอยประกาศระงับการใช้งานเครื่องบินรุ่นนี้เช่นกัน โดยเม็กซิโกเป็นประเทศที่ 50 ตามหลังการตัดสินใจของผู้นำสหรัฐฯ ในวันที่ 13 มี.ค.
โคเรียนแอร์ สายการบินของเกาหลีใต้ ซึ่งมีกำหนดจะทำการบินด้วยเครื่องบินรุ่นนี้ในเดือนพ.ค. นี้ ก็ประกาศเลื่อนการใช้งานเครื่องบินรุ่นนี้ออกไปก่อน
นี่เป็นอีกประเด็นที่ทำให้ตระหนักได้ถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจของการแบนการใช้งานเครื่องบินโบอิ้งรุ่นเจ้าปัญหาจากทั่วโลก โดย Melius Research และ Jefferies บริษัทในวอลสตรีทประเมินว่า การระงับใช้โบอิ้ง 737 Max นาน 3 เดือน จะทำให้บริษัทโบอิ้งเสียหายมากถึง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 159,050 ล้านบาท.