ทรัมป์ไม่ไปดาวอสปีนี้
การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และสมาชิกคณะรัฐมนตรีสหรัฐฯไม่ได้ไปร่วมประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในสัปดาห์นี้อาจไม่มีผลอะไรมากนัก นักวิเคราะห์กล่าวกับสื่อ CNBC แต่การประชุมเป็นการสะท้อนทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
ผู้ที่มาร่วมประชุมหลายพันคน ซึ่งมีทั้งมหาเศรษฐีนักธุรกิจ นักการเมือง และผู้นำทางวัฒนธรรมมารวมตัวกันที่เมืองดาวอส ซึ่งเป็นเมืองสกีรีสอร์ทบนเทือกเขาแอลป์ในสวิตเซอร์แลนด์เมื่อวันที่ 21 ม.ค. เป็นการประชุมประจำปีที่เป็นโอกาสดีที่ผู้นำประเทศต่างๆจะมารวมตัวกันเพื่อพยายามทำให้โลกดีขึ้น
การประชุมที่จัดขึ้นนาน 5 วันในปีนี้ กลายเป็นจุดสนใจสำคัญหลังจากผู้นำสหรัฐฯ ต้องยกเลิกแผนการไปร่วมประชุมกับบรรดาผู้นำระดับโลกเนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ บางส่วนยังคงชัทดาวน์อยู่
จนถึงตอนนี้ รัฐบาลสหรัฐฯชัทดาวน์เป็นเวลานานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงต้องการงบประมาณในการสร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐฯ – เม็กซิโก แต่ส.ส.พรรคเดโมแครตไม่อนุมัติ
เมื่อวันที่ 19 ม.ค.ประธานาธิบดีทรัมป์เสนอข้อตกลงที่ “ ประนีประนอม” เพื่อการแลกเปลี่ยนสำหรับเงินในการสร้างกำแพง แต่พรรคเดโมแครตปฏิเสธข้อเสนอในทันที โดยระบุว่าเป็นเงื่อนไขที่ “ยอมรับไม่ได้”
ความต้องการงบประมาณในการสร้างกำแพงของทรัมป์ และการปฏิเสธจากพรรคเดโมแครต ทำให้เกิดความไม่ลงตัว และจากโพลของชาวอเมริกัน ส่วนใหญ่ล้วนโทษทรัมป์ที่ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวาย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะขาดทรัมป์ไป แต่ผู้นำสหรัฐฯยังคงเป็นจุดที่ต้องพูดถึงในการประชุมที่ดาวอสในสัปดาห์นี้อยู่ดี
ทั้งเรื่องที่รัฐบาลสหรัฐฯยังคงชัทดาวน์อยู่ ความขัดแย้งทางการค้าของจีนกับสหรัฐฯ หรือการที่ทรัมป์อยากถอนสหรัฐฯออกจากการเป็นสมาชิก NATO จึงเป็นเรื่องยากที่บรรดาผู้นำทั่วโลกจะสามารถหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงแนวคิดและการกระทำของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการประชุมที่ดาวอสได้
“ การขาดตัวแทนจากสหรัฐฯในดาวอสเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกในรอบปีที่ผ่านมา ” Cailin Birch นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกที่ Economist Intelligence Unit กล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อ CNBC ผ่านอีเมลเมื่อวันที่ 21 ม.ค.
“ คุณทรัมป์แสดงอาการหัวเสียมากขึ้นกับประเทศพันธมิตรต่างชาติ และองค์การที่ทำข้อตกลงระหว่างประเทศ ตั้งแต่ NAFTA ไปจนถึง NATO ซึ่งเขามองว่าเป็นการยับยั้งอำนาจของสหรัฐฯ” Birch กล่าว ก่อนเสริมว่า “ เราคาดการณ์ว่าสหรัฐฯจะโดดเดี่ยวมากขึ้นในเวทีนานาชาติ เพราะทรัมป์ต้องการผลักดันยุทธศาสตร์ ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ ”