“กรรมาธิการพลังงาน” แนะรัฐลดภาษีสรรพสามิตรับศึกน้ำมันแพง
กมธ.การพลังงาน แนะรัฐ ปรับน้ำมันดีเซล เป็น B5พร้อมลดภาษี ดันราคาน้ำมันต่ำ ช่วยประชาชน
“กรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร แนะรัฐบาล เร่งออกมาตรการเยียวยาประชาชน และภาคอุตสาหกรรมในระยะสั้น ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง เสนอปรับส่วนลดไบ โอดีเซลในน้ำมันลง จาก B6 เป็น B5 พร้อม เตรียมลดภาษีสรรพสามิตลง ในระยะสั้น ตั่งแต่ 3-6 เดือน และลดเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเหลือ 1 สตางค์/ลิตร และให้ประชาสัมพันธ์พี่น้องน้องประชาชนใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างประหยัด เชื่อ ! รัฐบาลทำได้ เพราะ อำนาจอยู่ในมือ”
นายกิตติกร โล่ห์สุนทร ประธานกรรมาธิการการพลังงานสภาผู้แทนราษฎร นายสมเกียรติ วอนเพียร รองประธานกรรมาธิการฯ และคณะ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมาธิการการพลังงาน ครั้งที่ 67 ว่า ตามที่กระทรวงพลังงานประกาศปรับส่วนผสมขั้นต่ำของไบ โอดีเซลในน้ำมันดีเซล B7 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (B10) ทั้ง 2 ชนิดให้เหลือร้อยละ 6 และกำหนดให้เป็นน้ำมันดีเซลมาตรฐานชั่วคราวพร้อมปรับลดให้เหลือราคาเดียวกัน เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบประชาชน มีผลตั้งแต่วันที่ 11 – 31 ตุลาคม 2564 นั้น
กรรมาธิการการพลังงานเห็นด้วยที่กระทรวงพลังงานเร่งออกมาตรการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนแต่อย่างไรก็ตามทางกรรมาธิการการฯ ได้ทำการประชุมพิจารณาเรื่อง “แนวโน้มราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง” ในวันที่ 16 กันยายน 2564 โดยที่ประชุมได้มีมติ ในประเด็นดังกล่าว เพื่อเสนอให้รัฐบาลพิจารณาดำเนินการอยู่ 4 เรื่อง คือ
1.การปรับสูตรน้ำมันดีเซล ซึ่งในเรื่องนี้กรรมาธิการฯ เห็นด้วยกับกระทรวงพลังงานที่ทำการปรับจาก B7 และB10 เป็น B6 เพื่อลดสัดส่วนการผสมไบ โอดีเซลลง ซึ่งจากการปรับดังกล่าว ทำให้ราคาน้ำมันลดลง แต่ทั้งนี้หากรัฐบาลต้องการให้ราคาน้ำมันลดลงอีก เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ภาคอุตสาหกรรมต่างๆกรรมาธิการเห็นว่า รัฐบาลควรปรับน้ำมันดีเซลจาก B6 เป็น B5 จากที่ได้ปรับจาก B7 และ B10 เป็น B6 มาแล้ว ซึ่งสามารถทำให้ราคาน้ำมันดีเซลถูกลงได้อีก แต่ทั้งนี้เป็นเพียงการปรับในระยะสั้นในช่วงที่น้ำมันยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจจะกินเวลา 3 – 6 เดือน
ในส่วนน้ำมันปาล์มที่ลดลงจากการผสมน้ำมันดีเซล รัฐบาลควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลสินค้าการเกษตรเข้ามาหาทางช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ไม่ว่าจะหาตลาดส่งออกหรือช่องทางการจำหน่ายในประเทศเพิ่มเติมจากเดิม เพื่อลดกระทบต่อพี่น้องเกษตรกรที่ปลูกปาล์ม
2. ปัจจุบันที่มีการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ไม่เกินลิตรละ 30 บาท กรรมาธิการฯ เห็นว่า มาตรการดังกล่าวมีความเหมาะสมแล้ว แต่รัฐบาลควรมีการเตรียมความพร้อมในการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลง หากแนวโน้มราคายังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้เลย เพราะอำนาจอยู่ในมือของรัฐบาล เพื่อรองรับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่อาจจะปรับตัวสูงขึ้นเกิน 30 บาทต่อลิตรในอนาคต ซึ่งในเรื่องนี้เป็นเพียงมาตรการๆ หนึ่ง ในการเยียวยาพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และภัยน้ำท่วม เป็นการแบ่งเบาภาระของพี่น้องประชาชนอย่างจริงใจ และเร่งด่วน รัฐบาลสามารถปรับลดภาษีสรรพสามิตลงได้ เท่าที่เห็นว่าเหมาะสม แล้วแต่รัฐบาลจะเห็นใจ
3. ควรมีการปรับลดการเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจากเดิม 10 สตางค์ต่อลิตรเหลือ 1 สตางค์ต่อลิตร เช่นเดียวกันเป็นเพียงการปรับระยะสั้น อาจเป็น 3-6 เดือน ที่สถานการณ์ราคาน้ำมันในประเทศมีราคาที่สูงขึ้น
4. ควรมีการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนใช้น้ำมันอย่างประหยัด และเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด
“อย่างไรก็ตาม หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลจะนำข้อเสนอแนะของกรรมาธิการไปเร่งดำเนินการออกมาตรการต่างๆเพื่อการเยียวยาพี่น้องประชาชน และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ว่าการปรับสูตรน้ำมันดีเซล ให้มีส่วนผสมน้ำมันปาล์มลดลง จาก B6 เป็น B5 การลดภาษีสรรพสามิต การลดการเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ร่วมไปถึงการประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนปรับใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างประหยัด”