กนง. ลดดอกเบี้ย 0.25%

• กระตุ้นเศรษฐกิจดันจีดีพีโตเกิน 2.5%
• ยันทิศทางดอกเบี้ยยังไม่ใช่ขาลง
• มั่นใจปีหน้าเงินเฟ้อเข้าเป้าหมาย
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 2.00% เนื่องจากคณะกรรมการฯ ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีโอกาสจะเติบโตได้ต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้เดิมที่ 2.9%
“ในการประชุม กนง.วันที่ 30 เม.ย.นี้ จะมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 อย่างเป็นทางการ โดยคาดว่า จะปรับมาอยู่ที่สูงกว่า 2.5% เล็กน้อย จากปัจจุบันคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 2.9%” นายสักกะภพ กล่าวและกล่าวว่า
การที่เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ไม่สูง มาจากปัญหาด้านอุปทานเป็นสำคัญ เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไข ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงนี้ จะช่วยลดต้นทุน และภาระทางการเงินให้ลูกหนี้ได้บ้าง และช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจที่ชะลอลงมารวมทั้งเงินเฟ้อที่ยังมีความเสี่ยงด้านต่ำ แต่การปรับอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ไม่ใช่วัฎจักรดอกเบี้ยขาลง
“ครั้งนี้ ไม่ใช่ แนวโน้มดอกเบี้ยขาลง แต่พิจารณาจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอลง จากที่เราเคยประเมินไว้ที่ 2.9% ครั้งนี้ประเมินว่า อาจจะสูงกว่า 2.5% เล็กน้อย จึงทำให้เรามีมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ หลังจากที่ได้ประเมินข้อมูล และความเสี่ยงในระยะข้างหน้านั้น ดอกเบี้ยที่ลดลงในครั้งนี้ น่าจะสอดคล้อง และทำให้ความเสี่ยงที่เราประเมินทั้ง 3 ด้าน ประกอบด้วย เศรษฐกิจ เงินเฟ้อ เสถียรภาพระบบการเงิน การเกิดความสมดุล และเชื่อว่าดอกเบี้ยในระดับนี้ จะรองรับความเสี่ยงในอนาคตได้พอสมควร”
นายสักกะภพ ยืนยันว่า การที่ กนง. มีมติปรับลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพราะถูกแรงกดดันจากฝ่ายการ เมือง หรือภาคเอกชน แต่ กนง. ประเมินจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบถัดไปเดือนเม.ย. ก็คงจะต้องดูเรื่องของขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย (Policy Space) มากขึ้น เพราะกระสุนของเรา มีไม่มากนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
“ที่ผ่านมา ธปท.ได้หารือกับภาคการเมืองและภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับนำตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ มาพิจารณาแล้ว เพื่อประกอบการประเมินว่าเราดูครบถ้วนไหม เป็นเรื่องปกติที่ต้องมีการแลกเปลี่ยน แต่รอบนี้ได้มองเห็นภาพจริงๆ ทั้งเศรษฐกิจ Q4/67 และข้อมูลภาคสนาม เห็นแนวโน้มว่าเศรษฐกิจชะลอกว่าที่ประเมินไว้อย่างมีนัย จึงเป็นที่มาของการลดดอกเบี้ยครั้งนี้” นายสักกะภพ ระบุ
เลขานุการ กนง. กล่าวว่า ในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรรมการฯ ได้พูดคุยใน 3 ประเด็นสำคัญ คือ
1. ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ มีแนวโน้มจะขยายตัวได้ต่ำกว่าที่ประเมินไว้เมื่อเดือนธ.ค. ซึ่งโดยหลักแล้วมีสาเหตุมาจากภาคการผลิตที่ลดลง นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุนแรงขึ้น และการแข่งขันจากสินค้าจากต่างประเทศ ตลอดจนเมื่อมองไปข้างหน้า ยังมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าที่มีความไม่แน่นอนสูง
อย่างไรก็ดี แม้ว่าการส่งออกจะเติบโตได้ดี และความต้องการซื้อสินค้ายังมีอยู่ แต่จะเห็นว่าไม่มีการผลิตเพิ่ม เป็นแค่การระบายสต็อกเดิม ส่วนหนึ่งมาจากผู้ประกอบการอาจเห็นความเสี่ยงในระยะข้างหน้า จึงไม่ได้มีการผลิตเพิ่ม รวมถึงมีการนำเข้ามาเพิ่มขึ้น ทำให้ภาคการผลิตติดลบมาตั้งแต่ปี2567 และเศรษฐกิจไทย ถูกขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยว และบริการ เป็นหลัก
2. อัตราเงินเฟ้อ อยู่ในขอบล่างของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3% โดยในปีนี้ คาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 1.1% และปี 2569 อยู่ที่ 1.2% ทรงตัวในระดับต่ำ แต่ยังไม่เห็นสัญญาณของภาวะเงินฝืด เนื่องจากยังเห็นการปรับขึ้นราคาสินค้า “เงินเฟ้อต่ำมาจากปัจจัยอุปทาน ราคาอาหารสด พลังงาน แต่ไม่ได้สะท้อนว่าดีมานด์อ่อนแอ อุปสงค์ในประเทศปี 67 โตดีกว่าคาด ดังนั้นความกังวลในแง่เงินเฟ้อต่ำ หรือจะเกิดเงินฝืด คงไม่ใช่ประเด็น”
และ 3. ภาวะการเงิน แม้จะยังตึงตัว แต่เริ่มเห็นสัญญาณทรงตัว โดยสินเชื่อธุรกิจผงกหัวขึ้นในสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ แต่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ยังหดตัว -3% ใกล้เคียงเดิม ขณะที่คุณภาพสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ และเอสเอ็มอีทรงตัว ส่วนสินเชื่อรายย่อยปรับดีขึ้น โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และสินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) โตชะลอลง แต่เห็นสัญญาณสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้นบ้าง ซึ่งต้องติดตามต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : กรุงศรี คาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 33.35-33.85 ติดตามผลประชุมกนง.