สธ.ทบทวน ‘โควิด’ รักษาฟรีตามสิทธิ ตามมติ ครม.
กระทรวงสาธารณสุข ทบทวน “โควิดรักษาตามสิทธิ” ตามมติ ครม. และยังใช้กลไก UCEP COVID รักษาฟรีทุกที่ตามเดิม สถานพยาบาลเอกชนไม่สามารถปฏิเสธการรักษาได้ โดยจะเร่งสื่อสารทำความเข้าใจประชาชน เรื่องกระบวนการใช้สิทธิการรักษา ช่องทางเข้ารับบริการ และ UCEP Plus ก่อนนำเสนอ ครม.อีกครั้ง
ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พร้อมด้วย นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และ ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) แถลงแนวทางการรักษาและเบิกจ่ายโรคโควิด 19
นพ.ธเรศ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดปรับระบบการรักษาโรคโควิด 19 ให้เป็นการรักษาตามสิทธิ เริ่มวันที่ 1 มีนาคม 2565 และจะมีการประกาศใช้ UCEP Plus ดูแลผู้ป่วยโควิดอาการสีเหลืองและสีแดงให้เข้ารับบริการได้ในสถานพยาบาลรัฐและเอกชนทุกแห่ง อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ได้มอบให้กระทรวงสาธารณสุขทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง ดังนั้น ขณะนี้โรคโควิด 19 จึงยังเป็นโรคฉุกเฉินสามารถรักษาได้ทุกที่ (UCEP COVID) สถานพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนไม่สามารถปฏิเสธการรับผู้ป่วยได้ หากไม่มีศักยภาพในการดูแลหรือไม่มีเตียงจะต้องส่งต่อ และไม่สามารถเรียกเก็บเงินมัดจำได้ มิเช่นนั้นจะมีความผิดตามพ.ร.บ.สถานพยาบาล
ส่วนการทบทวนจะเน้นทำความเข้าใจประชาชน ทั้งการเข้าสู่ระบบเมื่อติดเชื้อ ช่องทางติดต่อ การใช้สิทธิรักษาของแต่ละกองทุนสุขภาพ ความเข้าใจเรื่องระดับอาการที่มีการดูแลแตกต่างกัน เช่น อาการปานกลางสีเหลืองที่เข้ารักษาได้ทุกที่มีเกณฑ์อย่างไร เป็นต้น รวมถึงระบบการส่งต่อ เพื่อให้ประชาชนเข้ารับบริการได้ถูกช่องทาง รวมถึง
ทำความเข้าใจกับฝั่งสถานพยาบาลด้วย ส่วนเรื่องของ UCEP Plus ซึ่งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้เตรียมการรองรับและทำระบบคัดแยกไว้แล้วนั้น จะมีการทบทวนไปพร้อมกัน ซึ่งไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาในการทบทวนไว้ หากเตรียมกระบวนการบริการและการสื่อสารครบถ้วนก็นำเสนอ ครม.ต่อไป
นพ.จเด็จ กล่าวว่า ยืนยันว่า UCEP COVID ยังรักษาได้ทุกที่ ไม่จำเป็นต้องกลับไปรักษายังหน่วยบริการที่ลงทะเบียนไว้ ส่วนการรับบริการทั้งที่บ้าน ชุมชน โรงแรม โรงพยาบาล ระบบจะเข้าไปดูแลค่าใช้จ่าย สำหรับช่องทางลงทะเบียนผู้ติดเชื้อผ่านสายด่วน 1330 พบว่า วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 มีจำนวนสายติดต่อเข้ามาสูงที่สุด 49,005 สาย ในรอบ 24 ชั่วโมง จึงเพิ่มเจ้าหน้าที่รับสายอีก 150 คน อย่างไรก็ตาม ทุกวินาทีจะมีผู้รอสายประมาณ 50 สาย จึงแนะนำให้ติดต่อผ่านไลน์ สปสช. @nhso หรือเว็บไซต์ของ สปสช. จะมีเจ้าหน้าที่รับเรื่องและติดต่อกลับเช่นกัน
ด้าน ร.อ.นพ.อัจฉริยะ กล่าวว่า สพฉ.พร้อมให้การสนับสนุนตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขทั้ง 2 ด้าน ไม่ว่าจะเป็น UCEP COVID หรือ UCEP Plus สำหรับผู้ติดเชื้อให้โทรประสาน สปสช.
ทางหมายเลข 1330 หรือ @nhso แต่หากระหว่างรอการประสานเพื่อรับยา หรือรอการรักษา มีอาการแย่ลง เช่น เหนื่อย หายใจไม่สะดวก ไข้สูง หรือมีอาการที่คิดว่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิต ให้โทรสายด่วน 1669 ซึ่งใน กทม.
ศูนย์เอราวัณเป็นผู้ดูแล สำหรับต่างจังหวัด หรือปริมณฑล จะเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดแต่ละแห่งดูแลโดยทางศูนย์ฯ 1669 จะพิจารณา ส่งทีมและรถไปรับผู้ป่วยไปส่งยังสถานพยาบาล ที่จะไปรับการรักษาตามคำแนะนำของ สปสช. ซึ่งต้องสอดคล้องกับกองทุนที่จะไปตามจ่ายต่อไปด้วย โดย สพฉ.ได้มีการประสานและทำงานร่วมกับศูนย์เอราวัณมาโดยตลอด ในช่วงนี้จำนวนเคสยังไม่มากนัก ซึ่ง กทม.ยังสามารถดูแลได้ ศูนย์เอราวัณจะเป็นผู้จัดทีมเข้าไปให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย แต่หากในอนาคตมีจำนวนเคสเพิ่มมากขึ้นเกินศักยภาพของ กทม. ที่จะช่วยเหลือได้ สพฉ.ก็พร้อมที่จะระดมทรัพยากรและจัดทีมเข้าไปช่วยดูแลผู้ป่วยให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีต่อไป
ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่า ทางรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข และ กทม. มีความตั้งใจที่จะดูแลประชาชนให้ดีที่สุด และมากที่สุด