ภาคกลางเวียดนาม!มนต์เสน่ห์ไม่รู้ลืม
ถ้าจะพูดถึงเวียดนามหลายคนอาจเคยไปเที่ยวไปเยือนมาแล้วโดยเฉพาะใน 2 เมืองเอก
อย่างกรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์ ซิตี้ หรือไซง่อน ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ช่วงสงครามเวียดนามทั้งสองช่วง คือยุคที่ฝรั่งเศสเข้ามาล่าอาณานิคมในอินโดจีนและยุคที่สองที่สหรัฐฯ เข้ามาบุกเวียดนามแต่เพื่อสกัดอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ เวียดนามยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมายรอให้พวกเราไปสัมผัส อย่างเช่น พื้นที่ภาคกลางที่มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญไม่น้อยหน้า 2 เมืองเอกดังกล่าว เริ่มกันเลยดีกว่า…
ดานัง
เป็นเมืองศูนย์กลาง จุดเชื่อมโยงเมืองอื่นๆ ในภาคกลางมาตั้งแต่สมัยสงครามช่วงฝรั่งเศสบุกเวียดนามก็มาขึ้นฝั่งที่ดานังนี่แหละ เพราะมีอาณาเขตหน้าด่านติดทะเลตะวันออก หรือทะเลจีนใต้ สุดแล้วแต่ใครจะเรียก แต่คนเวียดนามเขาขอเรียกชื่อแรกเพราะเป็นหนึ่งในหลายประเทศที่เป็นคู่กรณีแย่งครอบครองดินแดนทะเลจีนใต้กับจีนนั่นเอง ขอพักเรื่องการเมืองไว้ก่อนล่ะกัน วันนี้ขอพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวล้วนๆ เมื่ออยู่ติดทะเล…จุดแรกจึงต้องขอพูดถึงดานังก็คือทะเลและชายหาดที่ทอดยาวตีคู่ไปกับตัวเมืองยาวเหยียด ทำให้ค่อนข้างสะดวกสบายสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบทางนี้ เพราะโรงแรมส่วนใหญ่สร้างอยู่ติดหรือใกล้ชายหาด แค่ข้ามถนนก็ถึงชายหาดเจอทะเลแล้ว ส่วนหาดทรายแม้จะไม่ขาวสีทรายเท่าชายหาดสวยๆ ของบ้านเราแต่ก็ถือว่าสะอาดสะอ้านและเม็ดทรายละมุนนุ่มเท้า ส่วนน้ำทะเลก็ยังสะอาด พูดถึงกิจกรรมทางน้ำไม่ต้องพูดถึงที่อื่นๆ มีอะไรที่นี่ก็มี ไม่ว่าเจ๊ตสกี เล่นเซิร์ฟ หรือจะขึ้นเล่นเรือลากร่มพาราเซลก็มี แต่แค่เดินเล่นกินลมชมวิวก็กินขาดแล้ว ไม่เพียงแต่ทะเล ดานังยังมีแม่น้ำไหลผ่ากลางไม่ต่างจากแม่น้ำเจ้าพระยาไหล่ผ่ากรุงเทพฯ แม่น้ำที่ว่าคือ แม่น้ำฮันที่ไหลผ่าอกเมืองไปจรดสิ้นสุดอ่าวดานังซึ่งก็คือลงทะเลต่อไป เมื่อมีแม่น้ำก็ต้องมีสะพาน แต่ละสะพานก็ถูกสร้างให้มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปแต่ที่แปลกและแตกต่างจนเป็นแลนด์มาร์คของเมืองนั่นคือ สะพานมังกร ใครเห็นก็ต้องทึ่งและต้องรีบถ่ายรูปเป็นที่ระลึก โดยเฉพาะตอนกลางคืนที่มีการเปิดไฟแสงสี ยิ่งสร้างมนต์ขลังจับตาจับใจผู้มาเยือน…
ส่วนอีกที่ก็ให้นึกถึงเขาวังในจังหวัดเพชรบุรีกันเลย แต่ที่นี่เป็นหุบเขาหินอ่อน (Marble Mountains) อยู่ห่างใจกลางเมืองประมาณ 7 ก.ม.ระหว่างทางจากดานังไปฮอยอัน เป็นกลุ่มหุบเขา 5 ลูก และถูกตั้งชื่อตามธาตุทั้ง 5 ตามคติความเชื่อและหลักปรัชญาตะวันออก คือ ดิน น้ำ ไฟ ทอง ไม้ ใครฟิตพอก็เชิญเดินไต่บันไดขึ้นไปด้านบนภูเขาเพื่อไปดูถ้ำและอาคารสถานที่สำคัญทางศาสนารวมทั้งเจดีย์ นับขั้นบันไดเบาะแค่ 157 ขั้น หรือไม่ก็มีลิฟต์คอยรับส่งขึ้นไปถึงจุดหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ต้องเดินต่ออยู่ดี! พอขึ้นไปถึงด้านบน ก็สามารถมองเห็นดานังจากมุมสูงก็ดูสวยงามไปอีกแบบ ขณะที่ด้านบนนอกจากเจดีย์ที่บอกไว้ก็มีอาคารรูปทรงคล้ายศาลาวัดแต่เป็นแบบพุทธเถรวาทหรือพูดง่ายๆ แบบวัดจีนนั่นแหละ และก็แน่นอนถ้ำที่อยู่ด้านบนสุดของภูเขา เป็นถ้ำที่ถูกค้นพบสมัยสงคราม ด้านในแท่นพระพุทธรูปให้คนกราบไหว้บูชาและยังมีน้ำซึมนำโชค ใครเอามือรองรอน้ำหยดใส่มือแล้วเอาพรมหรือแตะที่ศรีษะแล้วอธิษฐาน ชาวบ้านที่นี่บอกจะได้ตามขอด้วยนะ ด้านบนเพดานถ้ำยังมีช่องมีรูให้แสงลอดผ่านจากฟ้าลงมาเป็นการจัดแสงอันสวยงามตามธรรมชาติอีกมุมที่น่าไปชม
ฮอยอัน
ฮอย อัน เป็นเมืองเก่าระดับมรดกโลกไม่ต่างจากเมืองเว้ที่จะพูดถึงลำดับถัดไป ตั้งอยู่อีกจังหวัด เดินทางจากดานังโดยนั่งรถก็ประมาณ 40 กว่านาที ถ้ารถโล่งๆ ไม่มีปัญหาจราจรก็ถึงแล้ว ถูกขึ้นบัญชีเป็นเมืองมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2542 (1999) เคยเป็นเมืองท่าสำคัญและเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าช่วงคริสตวรรษ 16-17 โดยเป็นเมืองมรดกโลกที่ยังคงสภาพเมืองเก่า ผสมผสานศิลปะและสถาปัตยกรรมท้องถิ่นกับของต่างชาติตั้งแต่ยุคศตวรรษ 18 ได้อย่างลงตัว เข้าไปถึงเขตเมืองเก่าแล้ว อาคารรูปทรงเก่าๆ ส่วนใหญ่ทาสีเหลือง สียอดนิยมของคนเวียดนามยังถูกอนุรักษ์ไว้แบบเดิมๆ รวมทั้งสะพานเก่าที่ชุมชนชาวญี่ปุ่นสร้างไว้ที่คงสภาพมนต์ขลังเดิมๆ นอกจากใช้สัญจรข้ามคลองแล้ว ด้านข้างยังสร้างเป็นศาลเจ้าให้คนเข้ากราบไหว้บูชาด้วย อาคารเก่าที่นี่ทางการเค้าไม่ให้ทุบทำลายรื้อทิ้ง อยากซ่อมแต่งเติมต้องขออนุญาตทางการก่อน
ฮอย อัน ดูจะเป็นที่รู้จักกันดีของนักท่องเที่ยวและกำลังกลายเป็นถนนคนเดินไปแล้ว เพราะมีนักท่องเที่ยวเดินสวนทางมาไม่ขาดสาย ตามร้านกาแฟก็มีนักท่องเที่ยวนั่งเต็ม บางคนเช่าจักรยานปั่นเที่ยวซึ่งก็ดูจะเหนื่อยน้อยกว่าเดินบ้าง แต่ส่วนใหญ่นิยมเดินกันเพราะได้ซึมซับบรรยากาศและดูอะไรต่อมิอะไรได้ถนัดและชัดเจนกว่า ส่วนใครที่อยากซึมซับบรรยากาศเมืองเก่าแห่งนี้จริง แนะนำให้พักอยู่หลายวันหน่อยและรับประกันว่าการสำรวจเมืองเก่านั้นปลอดภัยและไม่ยุ่งยากเลย จะเลือกเดิน ปั่นจักรยานหรือนั่งสามล้อชมเมืองก็แล้วแต่สะดวก
เว้
มาถึงเมือง “เว้” เป็นเมืองมรดกโลกด้วยเช่นกัน เป็นเมืองหลวงเก่าของเวียดนามยุคปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบกษัตริย์ราชวงศ์ อยู่ในจังหวัดเถื่อเทียน-เว้ นั่งรถจากดานังราว 2 ชั่วโมง ระหว่างทางรถแล่นลอดอุโมงค์ขนาดความยาวที่สุดในอาเซียน 6.28 กิโลเมตร เป็นเมืองโบราณย้อนกลับไปยุคจักรพรรดิ์ แหล่งท่องเที่ยวที่ไกด์พาไปเยือนคือ ดิ อิมพีเรียล ซิทาเดล (Imperial Citadel) หรือป้อมปราการและอาณาบริเวณรั้วพระราชวังที่ประทับเหล่าจักรพรรดิ์ราชวงศ์เหงียนที่ปกครองเวียดนามช่วงปี 1802-1945 และเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองเวียดนาม อาคารพระตำหนักและอื่นๆส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากปี พ.ศ.2347 -2376 (1804-1833) มีพื้นที่ทั้งหมด 36.3 เฮคแตร์ มีประตูเข้า-ออกรวม 4 ประตู ตั้งอยู่ฝั่งแม่น้ำเฮือง เกียง หรือแม่น้ำเฟอร์ฟูม (น่้ำหอม) ที่รายล้อมด้วยหุบเขาเขียวขจี
ที่เมืองเว้ ซึ่งจริงๆ ต้องออกเสียงให้มีตัว ฮ ควบกล้ำอยู่ด้วยถึงจะถูกสำเนียงคนเวียดนาม ยังมีวัดและเจดีย์ชื่อดังเป็นที่เคารพนับถือของชาวเวียดนามที่นับถือศาสนาพุทธอย่างวัดเทียนมู่กับพระเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ “ก็อดเดส”(Goddess) ตั้งอยู่เนินสูงริมแม่น้ำเพอฟูม ด้านหน้าเป็นขั้นบันไดขึ้นไปไหว้สักการะพระเจดีย์ก็อดเดส ส่วนพื้นที่ด้านในเป็นศาลปฏิบัติศาสนกิจและที่อยู่ที่พำนักของพระสงฆ์ ซึ่งพื้นที่ด้านในนี่เองที่ทำให้รู้ถึงเรื่องราวความเจ็บปวดและการต่อสู้กับการถูกกดขี่การนับถือศาสนาของพระสงฆ์รูปหนึ่งที่ยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ชีวิตขับรถจากเมืองเว้เข้าไปเผาตัวประท้วงรัฐบาลเวียดนามใต้ที่เมืองไซง่อนจนมรณภาพซึ่งตอนนั้น มีนายโง ดินห์ เดียม ผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกอย่างเคร่งครัด เป็นประธานาธิบดีคนแรกของเวียดนามใต้ (พ.ศ.2498-2506) ที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุน แต่การเข้มงวดนับถือศาสนาทำให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์เกาะกลุ่มก้อนเติบใหญ่ขึ้นและเกิดการประท้วงวุ่นวายจากพระและชาวพุทธทั่วไป จนสหรัฐฯ เอาตัวออกห่างและถูกรัฐประหารโค่นอำนาจเมื่อปี พ.ศ.2506 โดยนายเดียมและคนใกล้ชิดถูกจับประหารชีวิตปิดฉากการกดขี่การนับถือศาสนาในเวียดนามในยุคสงคราม โดยภายในวัดมีการอนุรักษ์รถยนต์คันที่พระเจ้าอาวาสทิจ กว่าง ดึ๊ค พระสงฆ์ผู้ยอมสละชีพประท้วงการกดขี่การนับถือศาสนาและ รูปภาพของท่านไว้ที่อาคารชั้นเดียว อยู่มุมด้านขวาของศาลาประกอบศาสนพิธีภายในวัดเทียน มู่นั่นเอง