เดินข้ามหลังคาเที่ยว 2 สวนสาธารณะใหญ่ใจกลางกรุงฯ

ย้อนกลับยังราวปี พ.ศ.2543 สมัยที่ นายพิจิตต รัตตกุลยังเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้มีนโยบายสร้างเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างสวนสาธารณะสวนลุมพินีและสวนเบญจกิติ
เพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรด้วยการเดินเท้าและขี่จักรยานเข้าสู่ใจกลางเมือง เส้นทางที่ว่านี้มีลักษณะเป็นเส้นตรงมีระยะทางยาวประมาณ 1.3 กิโลเมตร หมดงบประมาณไปไม่น้อยแต่ปรากฏว่าหลังจากสร้างเสร็จแล้วเส้นทางนี้กลับถูกปล่อยร้างอยู่นานนับสิบปี เพราะมันเปลี่ยวจนไม่ค่อยมีใครกล้าเดิน ยิ่งตอนเย็นย่ำนี่บางจุดแทบไม่มีแสงไฟส่องสว่างให้เลย ส่วนจักรยานนั้นก็แทบไม่ค่อยมีใครมาถีบกันเลย เพราะมีจุดลาดชันจนยากจะถีบไหวอยู่มากถึง 5-6 จุด และกลายสภาพเป็นจุดเข็นหรือลากจักรยานไปโดยปริยาย
แต่ด้วยความร่วมมือจากหลายๆ ฝ่ายที่เข้ามาช่วยกันพัฒนาเส้นทางสายนี้ให้เกิดประโยชน์สมดังเจตนารมณ์ โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ โดยการเพิ่มแสงส่องสว่างยามกลางคืน ติดกล้องวงจรปิดเพื่อเพิ่มความปลอดภัย และเปิดจุดขึ้น-ลงระหว่างทางเพิ่มขึ้น ก็เลยทำให้ทางลอยฟ้าสายนี้มีบรรยากาศที่น่าเที่ยวชมมากยิ่งขึ้น ไม่เปลี่ยวร้างสกปรกเลอะเทอะเหมือนสมัยแรกสร้างเสร็จ เหมาะจะไปเดินออกกำลังกายเพื่อสัมผัสกรุงเทพฯ ในมุมมองอันแปลกตา
จุดเริ่มต้นสำหรับการเดินชมวิวเมืองไปตามทางจักรยานลอยฟ้าหรือทางยกระดับเส้นที่ว่านี้ ถ้าเริ่มต้นทางฝั่งสวนลุมพินีจะหาทางขึ้นได้ง่ายกว่าทางฝั่งสวนเบญจกิติ เพราะว่าทางขึ้นจะอยู่ตรงสามแยกถนนวิทยุตัดปากซอยสารสิน ตรงบริเวณสมาคมแบดมินตันหัวมุมสวนลุมพินีนั่นเองดูเผินๆ ก็เหมือนสะพานลอยข้ามถนนขนาดใหญ่ แต่พอขึ้นไปแล้วก็จะเห็นเส้นทางลอยฟ้าสีเขียวมุ่งตรงขึ้นไปทางฝั่งสุขุมวิท และนี่ก็คือเส้นทางที่อยากแนะนำให้ลองหาโอกาสไปสัมผัสบรรยากาศกัน
เดินตรงไปสัก 5 นาที ก็จะได้เห็นชุมชนซอยร่วมฤดี เขตเพลินจิต อยู่ทางฝั่งซ้ายมือ โดยมียอดโบสถ์พระมหาไถ่ เป็นจุดสนใจอยู่ไม่ไกลนัก ซึ่งหากดูแว่บแรก โดยไม่สังเกตสัญลักษณ์ไม้กางเขน ก็อาจคิดว่าเป็นวัดพุทธได้เพราะยอดหลังคาเป็นทรงจั่วมุงกระเบื้องสีส้มและเขียว แต่แท้ที่จริงแล้วนี่คือโบสถ์คริสต์นิกายคาทอลิกที่มีเอกลักษณ์แห่งหนึ่งของไทย เพราะสร้างขึ้นตามแบบสถาปัตยกรรมไทย แทนที่จะเป็นแบบตะวันตกตามธรรมเนียมนิยม ซึ่งตามประวัติเล่าว่า สร้างขึ้นตอนต้นปี พศ.2497 ภายใต้การควบคุมของสถาปนิกมือดีชาวอิตาเลี่ยน ชื่อ อาชิเนลลี ซึ่งออกแบบและสร้างโบสถ์คาทอลิกในแบบสถาปัตยกรรมไทย ตามดำรัสของพณฯ ฟูลตัน ชีน พระสังฆราชชาวอเมริกันอันเลื่องชื่อขณะที่ท่านบังเอิญมาเยือนประเทศไทย และได้เคยให้ความเห็นว่า ถ้าคิดจะสร้างโบสถ์ในเมืองไทย ก็ควรออกแบบให้ดูกลมกลืนไปกับพื้นถิ่น
ทางจักรยานลอยฟ้าช่วงนี้มีช่องทางเปิดให้ขึ้นลงระหว่างชุมชนได้ ถ้าใครอยากเข้าไปชมวัดมหาไถ่ใกล้ๆ ก็น่าจะใช้เวลาเดินต่อไปอีกแค่ราว 10 นาทีเท่านั้นเอง แต่ถ้าจะเดินต่อไปตามเส้นทางหลักที่กำลังจะมุ่งหน้าไปยังสวนเบญจกิติ อีกจุดสนใจที่อยู่ไม่ไกลกันเลย แต่อยู่ทางฝั่งขวามือก็ได้แก่ มัสยิดอินโดนีเซีย ในซอยโปโล บริเวณหลัง สน.ลุมพินี สถาปัตยกรรมรูปแบบศิลปะอิสลามแบบชวาแบบประยุกต์ ซึ่งสร้างโดยชาว บาหยัน หรือ บูหยัน ในภาษาอาหรับ
ชาวบาหยันนั้นมีพื้นเพเป็นชาวเรือจากเกาะบูเวียส หรือบาเวียน ตั้งอยู่ระหว่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย แต่พากันอพยพเข้ามายังดินแดนสยามระหว่างสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 เนื่องจาก ไม่พอใจการปกครองแบบกดขี่บังคับโดยชาวฮอลันดาเจ้าอาณานิคมในแถบหมู่เกาะชวาขณะนั้น
ชาวบาหยันที่เข้ามายังสยามรุ่นแรกมักประกอบอาชีพตามความถนัดของตน เช่นเป็นมหาดเล็ก ดูแลม้าพระที่นั่ง เดินเรือ หรือทำสวน ถิ่นดั้งเดิมของชาวบาหยันในเมืองไทยตอนนั้นอยู่ในบริเวณเดียวกันกับชุมชนมุสลิมเชื้อสายชวา(ยะหวา) ซึ่งก็คือบริเวณซอยสวนหลวง ตรอกวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลมในวันนี้
ในระหว่างที่เดินไปตามทางจักรยานลอยฟ้านั้น ในบางอารมณ์ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า กำลังลอยตัวอยู่เหนือชุมชนที่กำลังมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สิ่งที่น่าสนใจริมสองฟากข้างคงจะเป็นชุมชนเก่าแก่และวิถีชีวิตในบ้านไม้เก่าๆ ที่นับวันจะหาดูได้ยาก และกำลังจะเลือนหายไปกับหมู่ตึกสูงที่กำลังเข้ามาแทนที่ในเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉพาะในย่านที่ผืนดินมีราคาแพงอย่างย่านสุขุมวิทอันอุดมไปด้วยคอนโดฯ เกิดใหม่มากมาย
อีกจุดที่น่าสนใจระหว่างเส้นทาง คงจะเป็นบริเวณเหนือทางพิเศษเฉลิมมหานคร ซึ่งคงหาโอกาสมายืนชมวิวในตำแหน่งแบบนี้ไม่ได้ง่ายนัก ปัจจุบันเป็นจุดที่ยังพอพบเห็นนักปั่นและผู้คนผ่านทางได้คับคั่งที่สุดบนเส้นทางนี้ เพราะทางจักรยานลอยฟ้าตรงนี้ทำหน้าที่ไม่ต่างอะไรกับสะพานลอยข้ามทางด่วนนั่นเอง
ทางจักรยานเส้นนี้มีอีกชื่อเรียกว่า ทางเดินยกระดับเลียบคลองไผ่สิงโต ซึ่งตั้งเอาตามแนวคลองทางฝั่งซ้ายมือที่เราจะเห็นเมื่อเราเดินข้ามทางด่วนมาแล้ว สภาพตื้นเขินไม่ค่อยน่าดูนัก เหมือนแอ่งเก็บน้ำเสียขนาดใหญ่เสียมากกว่า อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่เราจะสัมผัสได้เมื่อเดินมาถึงบริเวณนี้ ก็คือกลิ่นยาเส้นโชยมากับสายลม บอกให้รู้ว่าเรากำลังเดินเลียบรั้วโรงงานยาสูบ ซึ่งก็ตั้งอยู่ตลอดแนวทางฝั่งขวามือนั่นเอง
เมื่อเราเดินเลียบแนวรั้วโรงงานไปเรื่อยๆ อีกสักราว 5-10 นาที เราก็จะพบกับทางเข้าสวนเบญจกิติทางด้านขวามือ พื้นที่สีเขียวซึ่งวันนี้มีขนาดกว้างใหญ่เป็น 420 ไร่ ใหญ่กว่าสวนลุมพินีที่มีพื้นที่โดยรวมประมาณ 360 ไร่ไปแล้ว หลังจากทางโรงงานยาสูบได้คืนพื้นที่เฟส 2 เพิ่มอีก 310 ไร่เพื่อต่อขยายสวนเบญจกิติ หากใครได้มีโอกาสไปเดินเล่นภายใน 2-3 เดือนนี้ คงจะได้เห็นบรรยากาศการปรับปรุงพื้นที่สีเขียวกันอย่างขนานใหญ่
เมื่อได้เข้ามาสัมผัสกับใจกลางความร่มรื่นเขียวชอุ่มของสวนเบญจกิติแล้ว ก็เป็นอันว่าการเดินย่ำต๊อกบนทางจักรยานลอยฟ้ามาจากสวนลุมพินี ก็ได้มาถึง ณ จุดหมายปลายทาง จากจุดนี้ใครอยากจะเดินย้อนกลับทางเก่า ไปเดินเที่ยวห้างหรูแถวสี่แยกอโศกกันต่อ หรือจะไปหาซื้อของกินแถวตลาดสดคลองเตย…เลือกทางเดินกันได้ตามอำเภอใจเลย.