เตร็ดเตร่ริมคลองรอบกรุง สูดกลิ่นอายเก่าๆ ในเมืองแห่งสายน้ำ

กรุงเทพฯ หรือเมืองบางกอกสมัยเมื่อกว่า 200 ปีก่อน เป็นดินแดนราบลุ่มที่อุดมไปด้วยคูคลองมากมาย ผู้คนนิยมอาศัยบนเรือนแพ และใช้เรือเป็นพาหนะหลักในการสัญจรไปมา เมื่อฝรั่งต่างชาติแล่นเรือเข้ามาเห็น ก็เลยตั้งฉายาให้เป็น เวนิสแห่งตะวันออก ตามแบบเมืองเวนิสในอิตาลี ถิ่นคนน้ำในฟากโลกตะวันตก
ประมาณกันว่า น่าจะมีคูคลองอยู่ทั่วทั้งเขตกรุงรัตนโกสินทร์ไม่น้อยกว่าพันคลองเลยทีเดียว คลองหลายสายนั้นเป็นคลองที่ขุดขึ้นในช่วงก่อนตั้งเมือง อย่างเช่น คลองลัดบางกอก ซึ่งขุดขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๐๘๕ ในรัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราช ปัจจุบันกลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงที่ไหลผ่านมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ท่าราชวรดิฐ วัดอรุณราชวราราม และท่าเตียน ส่วนแม่น้ำเดิมแคบลง กลายเป็นคลองที่เรียกชื่อว่า คลองบางกอกน้อย คลองบางขุนศรี และคลองบางกอกใหญ่ เชื่อมต่อกัน
อย่างไรก็ดี หน้าประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่าในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ถือได้ว่าเป็นยุคที่มีการขุดคลองในเมืองกรุงฯ มากที่สุดยุคหนึ่งเลยทีเดียว มีทั้งขุดคลองใหม่และขุดลอกคลองเก่า เพื่อปรับปรุงเส้นทางไหลของสายน้ำตามธรรมชาติให้เกิดประโยชน์ทางการสัญจรไปมา การดูแลรักษาเมือง และเพิ่มประสิทธิผลทางเศรษฐกิจ เช่น การเปิดเส้นทางคมนาคมระหว่างกรุงเทพฯ กับจังหวัดใกล้เคียง เพื่อให้การลำเลียงข้าว พืชเศรษฐกิจสำคัญในยุคนั้นให้ออกไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น
คลองขุดสำคัญๆ ในยุคนั้นที่มีชื่อคุ้นหูกันดีในวันนี้ก็ได้แค่ คลองเปรมประชากร คลองนครเนื่องเขต คลองประเวศบุรีรมย์ คลองอุดมชลจร คลองราชมนตรี คลองทวีวัฒนา คลองนราภิรมย์ คลองรังสติประยูรศักดิ์ คลองประปา เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันเกือบทั้งหมดได้กลายเป็นเส้นทางคมนาคมสำรองเพื่อแบ่งเบาความติดขัดบนท้องถนน และทำหน้าที่เป็นทางระบายน้ำให้เมืองกรุงฯ ไปด้วย

สำหรับใครที่ต้องการหาเวลาเดินเล่นย้อนรอยความเป็นเมืองแห่งสายน้ำอย่างให้ได้อรรถรส คลองรอบกรุง น่าจะเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย คลองสายนี้เป็นคลองเก่าแก่ที่ขุดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ เพื่อเป็นแนวป้องกันอีกชั้นนอกป้อมปราการ จากช่วงระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยาตอนเหนือที่ตำบลบางลำพู ผ่านวัดบวรนิเวศวิหาร วัดเทพธิดา วัดสระเกศ วังบูรพาภิรมย์ ไปออกแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้ แถวๆ วัดสามปลื้มหรือวัดจักรวรรดิราชาวาส คิดเป็นระยะทางประมาณ 7 กม.
ระยะทางขนาดนี้ ถ้าไปเดินซอกแซกริมคลองตลอดทั้งสายคงได้เข่าทรุดเป็นแน่แท้ แต่ถ้าเลือกเดินเฉพาะช่วงด้านใต้ระหว่างย่านสะพานหันเก่าหรือคลองโอ่งอ่าง ไปจนถึงบริเวณหน้าวัดภูเขาทองหรือจุดใกล้ๆ ป้อมมหากาฬ ก็น่าจะพอเดินยืดเส้นยืดสายกันได้เพลินๆ โดยไม่ต้องห่วงว่าเท้าจะระบม
ปัจจุบันริมสองฝั่งคลองรอบกรุงด้านใต้ ช่วงคลองโอ่งอ่างและสะพานเหล็กได้รับการจัดระเบียบใหม่โดยกทม. จากที่เคยแออัดไปด้วยร้านค้าจนมองเห็นแต่หลังคา แปรเปลี่ยนเป็นสถานที่โล่งกว้างสบายตา ให้ความรู้สึกผ่อนคลายขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลย (แม้ว่าจะมีการตัดต้นไทรริมคลองทิ้งไปหลายต้นอย่างน่าเสียดาย) ถ้าวางแผนเดินซอกแซกเลาะไปตามทางถนนเลียบฝั่งคลองไปเรื่อยๆ เพื่อไปสู่ยังจุดหมายที่ว่าไว้ คงต้องออกไปเดินริมถนนข้างคลองทางฝั่งซ้าย(ถนนจักรเพชรต่อถนนมหาชัย) และถนนฝั่งขวา(ถนนบริพัตร) ซึ่งแต่ละฟากฝั่งต่างก็มีจุดน่าสนใจให้แวะเที่ยวชมไปโดยตลอด
ถ้าเลือกเดินไปทางฝั่งซ้ายมุมที่น่าแวะเป็นพิเศษ ก็เห็นจะเป็นย่านลิตเติ้ลอินเดียใกล้ตลาดพาหุรัด ซึ่งนอกเหนือจากเป็นแหล่งแวะชิมอาหารภารตะและขนมหวานรสชาติแปลกลิ้นแล้ว ในบริเวณนี้ยังเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวซิกข์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยอีกด้วย โดยซึ่งมี คุรุดวาราศีคุรุสิงห์สภา หรือวัดซิกข์สีทองอร่ามเป็นจุดสังเกตอันเด่นชัดที่สุดและไม่ควรพลาดที่จะแวะไปสัมผัสบรรยากาศอันน่าแปลกตาข้างใน การเข้าไปเยี่ยมชมก็ไม่ได้เคร่งครัดมากนัก ของเพียงแค่อยู่ในอาการสำรวม ถอดรองเท้า และโพกผ้าที่ทางวัดจัดไว้ให้ก็สามารถเดินขึ้นไปชมชั้นต่างๆ ในวิหารทองย่านกลางกรุงแห่งนี้ได้แล้ว ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 ชั้นด้วยกัน ส่วนสำคัญที่น่าสนใจคือชั้น 4 ที่เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ส่วนชั้นที่ 5 เป็นโรงเรียนสิกข์นานาชาติ และชั้นบนสุดเป็นที่อ่านและเก็บรักษาพระคัมภีร์

เมื่อได้เข้าไปชมแล้ว ก็จะเห็นว่าวัดซิกข์แห่งนี้ต่างกับกับวัดพุทธของไทยตรงที่ไม่มีนักบวชและไม่มีรูปสักการะให้เห็นเลย แต่ที่น่าจะคล้ายกันก็คือเป็นความศูนย์รวมการจัดกิจกรรมทางศาสนาของชุมชน นับตั้งแต่งานบุญไปจนถึงงานศพกันเลย
จากย่านลิตเติ้ลอินเดีย ถ้าเดินลัดเลาะผ่านย่านวังบูรพาข้ามถนนเจริญกรุงไปมุ่งหน้าไปตามถนนมหาชัยอีกแค่ราว 10 นาที ก็จะเจอกับสวนรมมณีนาถ สวนสาธารณะอันร่มรื่นซึ่งสร้าง
ขึ้นบนพื้นที่เรือนจำกลางคลองเปรมในอดีต ปัจจุบันยังคงปรากฏซากกำแพงคุกและหอตรวจการณ์ที่ผู้คุมเคยใช้สอดส่องเหล่านักโทษให้เห็นอยู่หลายจุด ซึ่งหอคอยบางจุดนั้นสามารถไต่บันไดเวียนข้างในเพื่อขึ้นไปชมวิวมุมสูงของสวนแห่งนี้ได้ โดยเฉพาะตรงส่วนบูรณะใหม่ที่อยู่ใกล้ๆ กับพิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์ ซึ่งครั้งหนึ่งในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งในแดน 9 ของเรือนจำคลองเปรมมาก่อน และนี่ก็เป็นอีกจุดน่าสนใจใกล้ๆ คลองรอบกรุงที่อยากให้แวะเข้าไปชมกัน

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี ๒๕๔๒ ปัจจุบันตัวอาคารเพิ่งได้รับการปรับปรุงและทาสีใหม่ แต่ภายในก็ยังคงจัดแสดงเรื่องราวและแง่มุมต่างๆ เกี่ยวกับระบบการลงทัณฑ์ผู้กระทำความผิดในบ้านเรานับตั้งแต่รูปแบบการจองจำไปจนถึงวิธีการประหารชีวิตนักโทษ ซึ่งอาจดูน่ากลัวน่าหวาดเสียวแต่ก็เป็นอีกแง่มุมของความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย
ออกจากหน้าพิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์ แล้วเดินไปตามถนนหลวงตรงสามแยกต่อกับถนนมหาชัย ข้ามสะพานไปยังฝั่งขวาของคลองรอบกรุง แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามถนนบริพัตรอีกราว 15 นาที ก็จะเห็นป้ายชุมชนบ้านบาตรอยู่ทางขวามือ เมื่อเดินผ่านตรอกแคบๆ ตรงหลังป้ายเข้าไปเพียงแค่อึดใจ ก็จะเป็นที่ตั้งของกลุ่มช่างฝีมือกำลังตีบาตรกันอย่างขมีขมัน จนเสียงดังไปทั่วบริเวณ สันนิษฐานกันว่า ชาวชุมชนเก่าแก่แห่งนี้ประกอบอาชีพตีบาตรริมคลองรอบกรุงมาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ หรือกว่า ๒๐๐ ปีมาแล้ว ถึงแม้ว่า บาตรพระสงฆ์ทุกวันนี้จะเป็นบาตรปั๊มจากโรงงานอุตสาหกรรม แต่ชาวชุมชนแห่งนี้ก็ยังคงอาชีพการทำบาตรบุเอาไว้จวบจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะเป็นการผลิตเพื่อเป็นของที่ระลึก หรือสั่งทำเป็นพิเศษก็ตาม
ย่านชุมชนบ้านบาตรทุกวันนี้ สามารถเข้าออกได้หลายทางไม่ว่าจะเป็นตรงบริเวณสี่แยกเมรุปูน ถนนบำรุงเมือง และซอยบ้านบาตร ด้วยเหตุนี้เมื่อเดินเข้าไปเที่ยวในชุมชนแล้ว ก็สามารถเดินซอกแซกต่อไปตามตรอกซอกซอยและหาทางออกกันได้ตามสะดวก
เท่าที่ลองนึกดู ชุมชนเก่าแก่อายุหลายร้อยปีที่ยังคงสืบทอดวิถีความเป็นช่างฝีมือโบราณให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าไปเที่ยวไปเซลฟีไปเที่ยวชมกันได้ฟรีๆ ในย่านกลางกรุงแบบนี้ แทบจะไม่มีหลงเหลือแล้วมั้ง.