เดินดูตึกเก่าย้อนรากเหง้ามหาเศรษฐีเมืองไทย

จากตัวเลขประมาณการโดยคร่าวๆ เมืองไทยเราน่าจะมีคนไทยเชื้อสายจีนอยู่ราว 14% ของจำนวนประชากรไทยในปัจจุบัน หรือเกือบสิบล้านคน แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว จำนวนชาวไทยเชื้อสายจีนที่แท้จริงในบ้านเราอาจมีมากกว่าตัวเลขนี้เป็น 2-3 เท่าก็ได้ ถ้าได้ลองเหลียวมองคนรอบกายซึ่งมีแต่คนตัวขาวๆ ตาชั้นเดียวมากมายไปหมด
ตามปูมประวัติศาสตร์ของเมืองบางกอกระบุว่า ชาวจีนโพ้นทะเลเข้ามาตั้งถิ่นฐานกันอย่างหนาแน่นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยากันตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นแล้ว จุดที่เป็นศูนย์กลางก็อยู่แถวๆ ท่าน้ำราชวงศ์ต่อเนื่องไปจนถึงย่านสำเพ็งในปัจจุบันนี้
ครั้นถึงในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการตัดถนนเยาวราชผ่านย่านชุมชนจีน โดยมีทิศทางขนานไปกับแนวสายน้ำเจ้าพระยา ซึ่งนำมาซึ่งความเจริญมากมายทางการค้ามาจวบจนถึงทุกวันนี้
ถนนเยาวราชนั้นมีลักษณะคดเคี้ยวเล็กน้อย ไม่เป็นเส้นตรงเหมือนกับถนนเส้นอื่นๆ ในเมืองกรุง ซึ่งตัดขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้ถูกเปรียบเปรยว่าเป็นถนนมังกร ซึ่งมีส่วนหัวอยู่ตรงบริเวณวงเวียนโอเดียน และมีปลายหางทอดยาวไปถึงย่านสะพานเหล็ก
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ภาพความเจริญรุ่งเรืองในเมืองไทยทุกวันนี้ อาจได้รับอิทธิพลจากชาวญี่ปุ่น และชาวตะวันตกอยู่ไม่น้อย แต่กลุ่มคนที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจการค้าบ้านเราให้เป็นปึกแผ่นได้มาถึงทุกวันนี้ ล้วนมีรากเหง้ามาจากชาวจีนในย่านสำเพ็ง-เยาวราชแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะธุรกิจด้านการธนาคาร ทองคำ และการค้าส่งขนาดใหญ่
ถ้าลองได้เดินซอกแซกไปตามตรอกซอยต่างๆ ในย่านเก่าเยาราชก็จะได้เห็นร่องรอยดังว่า ซึ่งยังคงหลงเหลือให้ได้เห็นได้สัมผัสกันอยู่ไม่น้อย แม้ว่าพื้นที่บางส่วนจะถูกทำลายไปโดยไฟไหม้ใหญ่หลายครั้งในอดีต และโครงการสร้างสถานีรถไฟใต้ดินในปัจจุบัน

ซอกซอยต่างๆ ในย่านเยาราช-สำเพ็งนั้น เกือบทั้งหมดจะมีทางต่อเชื่อมถึงกันโดยตลอดเหมือนเครือข่ายใยแมงมุม และจากประสบการณ์ส่วนตัวนั้น แทบไม่เคยอับจนหนทางเลย (จะมีพบเจอบ้างก็ตั้งแต่มีโครงการสร้างสถานีรถไฟใต้ดินนี่ล่ะ) ถ้าใครได้ลองเดินซอกแซกเข้าไปเที่ยวก็ไม่ต้องกลัวหลง ถ้ารู้ทิศที่ตัวเองต้องการจะไปแน่ชัดแล้ว ก็สามารถเดินลัดตรอกนี้ออกตรอกโน้นได้โดยไม่ห่วงว่าจะเจอทางตัน
สำหรับการเดินเที่ยวชมรากเหง้าในความเป็นย่านชุมชนเก่าชาวจีนอย่างเป็นทางการนั้น ควรไปตั้งต้นกันที่ ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช หรือพิพิธภัณฑ์วัดไตรมิตรวิทยาราม ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของพระมหามณฑปที่ประดิษฐานหลวงพ่อทองคำที่ ใหญ่ที่สุดในโลก ใกล้ๆ วงเวียนโอเดียน อาณาบริเวณที่เปรียบได้กับส่วนหัวของถนนมังกร ศูนย์ศึกษาแห่งนี้เปิดให้คนไทยเข้าชมฟรีทุกวันตั้งแต่ 8 โมงเช้า – 5 โมงเย็น ข้างในจะมีมุมจัดแสดงมากมายที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชาวจีนที่เดินทางมาจากโพ้นทะเล นับตั้งแต่ยุคหอบเสื่อผืนหมอนใบมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร จนกระทั่งสร้างเนื้อสร้างตัว ขยายกิจการเจริญรุ่งเรืองบนถนนสายทองคำกลางเมืองกรุง
เมื่อได้ปูพื้นความเป็นมาของเยาวราชกันพอสังเขปแล้ว ใครอยากจะเลือกมุมเดินย้อนประวัติศาสตร์ชาวจีนไปทางมุมไหนทิศใดก็เชิญกันตามใจชอบ แต่ถ้าให้แนะนำกัน ก็อยากจะชวนไปเดินดูอาคารเก่าบนถนนทรงวาด ถ้าออกจากศูนย์ประวัติศาสตร์ฯ ให้เดินเลี้ยวขวาตรงประตูทางออกด้านถนนไตรมิตร แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ สัก 100 เมตรเศษๆ ก็จะพบกับหัวถนนทรงวาดซึ่งเป็นถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาความยาวเพียงแค่ราว 700 เมตร แต่ยังคงไว้ซึ่งร่องรอยเก่าแก่มากมายของคนจีนบนแผ่นดินสยาม เมื่อครั้นพากันขึ้นฝั่งเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารกันตั้งแต่สมัยกว่า 200 ปีที่แล้ว
ช่วงก่อนจะถึงหัวถนนทรงวาด จะเห็นวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร หรือที่เรียกติดปากกันว่า วัดสำเพ็ง โดดเด่นเป็นสง่า วัดแห่งนี้เก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว แต่ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์มาหลายยุคหลายสมัยจวบจนปัจจุบัน ความโดดเด่นของวัดแห่งนี้คือ ความเป็นวัดไทยที่ผสมผสานด้วยศิลปะจีน ที่เห็นเด่นชัดเป็นพิเศษก็ตรงบานประตูพระอุโบสถซึ่งมีภาพเขียนสีเป็นรูปอารักษ์แบบเดียวกับศาลเจ้าจีนเลย ตรงส่วนท้ายวัดด้านที่ติดริมน้ำเจ้าพระยา จะเป็นที่ตั้งของ ลอยละล่อง บูติคเกสท์เฮ้าส์เล็กๆ บรรยากาศดีริมน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเคยใช้เป็นบ้านของพระเอกในหนังทำเงินเรื่อง รถไฟฟ้ามาหานะเธอ เมื่อหลายปีก่อน

ออกจากวัดสำเพ็งเดินเข้าสู่ยังถนนทรงวาด ก็จะได้พบกับตึกรามบ้านช่อง และคลังสินค้าเก่าแก่อายุกว่าร้อยปีมากมาย ซึ่งต้องขอบอกว่าส่วนใหญ่ยังได้รับการดูแลรักษาไว้อย่างดี ภาพชีวิตผู้คนในตัวตึกนั้นก็ยังดูมีชีวิตชีวา คล้ายกับพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตก็ไม่น่าจะผิดนัก เพราะตามประวัติดั้งเดิมนั้นสองฟากถนนในบริเวณแห่งนี้เคยเป็นเมืองท่าที่ชาวรัตนโกสินทร์ตอนต้นใช้เป็นจุดลงเรือเดินทาง หรือส่งสินค้าออกไปยังต่างประเทศ ผ่านไปทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนพวกชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีนโพ้นทะเลพวกหอบเสื่อผืนหมอนใบ ก็ใช้ช่องทางนี้เข้ามาพึ่งโพธิสมภารพ่อหลวงของไทยสมัยราว 2 ศตวรรษที่แล้ว
ต้นตระกูลมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของไทย ล้วนเคยก่อร่างสร้างตัวกันขึ้นในบริเวณถนนสายนี้ และบางส่วนยังคงทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็นในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น ร้านค้าเมล็ดผักในนาม “เจียไต๋จึง” ของกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ เจ้าของเครือข่ายธุรกิจการค้าที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดที่แทบไม่มีใครๆ ไม่รู้จัก
ส่วนพื้นที่อีกฟากฝั่งน้ำตรงช่วงระหว่างท่าน้ำคลองสาน และท่าน้ำท่าดินแดงนั้น ในอดีตเคยเป็นคลังสินค้าที่เคยสร้างความมั่งคั่งให้กับคนในตระกูลหวั่งหลี มาก่อน ปัจจุบันยังคงเหลืออาคารเก่าแก่อายุกว่าร้อยปีให้เห็นอยู่มากมาย และบางส่วนได้รับการบูรณะปรับภูมิทัศน์ใหม่อย่างงดงาม จนสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากอีกฟากฝั่งน้ำ
ช่วงเวลาอันน่ารื่นรมย์ในการเดินเที่ยวชมตึกเก่าริมถนนทรงวาด น่าจะเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ เพราะแสงแดดอ่อนจะช่วยเน้นลวดลายปูนปั้น และโครงสร้างสถาปัตยกรรมเก่าแก่ให้ดูเด่นชัดขึ้น แดดไม่ร้อนอีกต่างหาก จุดที่อาจสร้างความรุงรังสายตาบ้างก็น่าจะเป็นสายไฟสายโทรศัพท์ข้างถนน หวังว่าในอนาคตข้างหน้า กทม. คงมีนโยบายปรับภูมิทัศน์ให้กลายเป็นถนนปลอดสายไฟเหมือนเช่นย่านเมืองเก่าอย่างเช่นที่ภูเก็ต และลพบุรีในปัจจุบัน

ถนนทรงวาดนั้น เป็นถนนสายสั้นๆ ที่มีความยาวเพียงแค่ราว 700 เมตรเท่านั้น แต่ถ้าใครได้เดินซอกแซกเข้าไปตามตรอกเล็กตรอกน้อยริมสองฝั่งถนน ก็จะพบกับตึกเก่าสวยๆ ประดับด้วยปูนปั้นรูปเถาดอกไม้ และผลไม้หลากหลายชนิด มีเสาเป็นแบบคอรีนเทียนประยุกต์ และมีซุ้มหน้าต่างโค้งกรุกระจกสีสวย ที่เรียกติดปากกันว่า ตึกผลไม้ อาคารแก่ที่โดดเด่น และเห็นได้ชัดที่สุดก็ได้แก่ อาคารเรียนของโรงเรียนอนุบาลเผยอิง ซึ่งอยู่ข้างหลังศาลเจ้าจีนเก่าแก่อายุกว่าร้อยปี ส่วนใหญ่ได้รับการบูรณะใหม่เกือบทั้งหมดแล้ว โดยเฉพาะบริเวณสองฟากข้างถนน
ถ้าใครอยากจะเห็นบ้านเจ้าสัว หรือเก๋งจีนเก่าแก่ที่ยังคงสภาพดั้งเดิมไว้เหมือนเมื่อร้อยปีที่แล้ว แบบให้ได้อารมณ์ชมโบราณสถานกลางย่านไชน่าทาวน์ ต้องไปเดินซอกแซกเส้นแถวๆ มัสยิดหลวงโกชาอิศหากแถวๆ ต้นถนนทรงวาด มัสยิดในรูปทรงตึกยุโรปซึ่งปัจจุบันได้รับการบูรณะทาสีใหม่เอี่ยม แต่ถ้าใครได้เดินไปบริเวณด้านหลัง ก็จะพบกับกุโบร์หรือสุสานเก่าแก่ของชาวมุสลิมในย่านคนจีน ซึ่งยังคงบรรยากาศดั้งเดิมไว้ สังเกตได้จากแผ่นป้าย และโลงศพทำด้วยหินที่ยังคงหลงเหลือในปัจจุบัน เมื่อเหลียวมองไปบริเวณรอบๆ ก็จะเห็นตึกเก่าหลายหลัง ที่น่าสนใจคือเก๋งจีนโบราณที่ปัจจุบันยังคงมีผู้อาศัยอยู่ แม้ว่าจะมีสภาพทรุดโทรมมาก และบางส่วนปิดร้าง การเข้าไปเยี่ยมชมให้ได้กลิ่นอายย้อนกาลเวลาต้องลัดเลาะเข้าไปในตรอกแคบๆ ข้างมัสยิด แล้วคุณจะคุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศอันน่าประหลาด ที่คุณแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่า จะยังพอมีหลงเหลือให้ดูกันในกรุงเทพฯ พ.ศ.นี้