เดินลัดตรอกย่านยานนาวาสู่สวนสวยในป่าช้าเก่าแก่
ถ้าตั้งต้นจากสถานีรถไฟฟ้าสะพานตากสินเดินเลี้ยวขวาไปทางปากซอยเจริญกรุง 52 เพียงแค่ราว 10 นาที เราจะพบกับวัดยานนาวา วัดสวยแปลกตาที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และอาจจะเป็นที่สุดในประเทศไทยตรงที่มีพระสถูปเจดีย์เป็นรูปทรงเรือสำเภาสมตามนามของวัด ซึ่งรัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ เพื่อยกสถานะความเป็นอารามเก่าแก่สมัยกรุงศรีอยุธยาที่เคยรู้จักกันในชื่อว่า วัดคอกควาย ให้ดูสง่างามขึ้นสมฐานะความเป็นพระอารามหลวง
แต่ดั้งเดิมเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว สถานที่แห่งนี้ยังเป็นแหล่งลงหลักปักฐานของชาวทวายเป็นจำนวนมากกระทั่งกลายเป็นแหล่งเลี้ยงกระบือไว้ซื้อขายแลกเปลี่ยนที่สำคัญในย่านนี้ มาถึงยุคในปัจจุบันอาณาบริเวณแห่งนี้ได้กลายเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ ไปเสียแล้ว ไม่หลงเหลือเค้าความเป็นคอกควายไว้เลย และหลายคนคงนึกภาพไม่เชื่อว่าที่แถวนี้มันเคยมีสภาพเช่นนั้นมาก่อน ถ้าจะให้พอจับเค้าความเป็นมาได้บ้าง ก็น่าจะเป็นแหล่งค้าขายปลาเสียมากกว่า เพราะย่านนี้อยู่ริมฝั่งน้ำเจ้าพระยา แถมยังคงมี ศูนย์กลางการค้าสัตว์น้ำสะพานปลากรุงเทพ ซึ่งตั้งอยู่ในละแวกใกล้ๆ กันให้ได้แวะเวียนไปจับจ่ายของสดๆ อีกต่างหาก
ถ้าอยากจะได้บุญแทนการฆ่าสัตว์น้ำ ตรงศาลาหลังสวยริมน้ำท้ายวัดยานาวา ซึ่งเพิ่งจะบูรณะต่อเติมขึ้นมาใหม่ นับเป็นจุดเลี้ยงปลายอดนิยมที่สุดแห่งหนึ่งในย่านกลางเมือง และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกริมฝั่งเจ้าพระยาที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ก็ว่าได้ แต่สำหรับในทริปนี้ เราไม่แนะนำให้ท่านอยู่รอชมตะวันกันจนเย็นย่ำ เพราะจุดหมายปลายทางที่อยากจะให้เดินยืดเส้นไปชมกันต่อจากนี้นั้น คือป่าช้าวัดดอน อันลือลั่นในอดีต ซึ่งอยากแนะนำให้เดินเข้าไปเที่ยวชมในยามฟ้าแจ้งจะดีกว่า
จากหน้าวัดยานนาวา เราสามารถเดินลัดเข้าซอยเจริญกรุง 57 เพื่อไปสู่ยังจุดหมายได้ บริเวณปากซอยแห่งนี้ค่อนข้างคึกคักพอสมควร เพราะอยู่ใจกลางย่านสถานศึกษามากมาย มีร้านอร่อย และมุมกาแฟน่านั่งให้เลือกมากมาย ร้านที่รู้จักกันดีเป็นพิเศษ ก็เห็นจะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา “ใช่ฮะ” ทางฝั่งขวามือ แต่พอเดินลึกเข้าไปเกินกว่า 200 เมตร จนถึงย่านใจกลางซอยสองฟากถนนจะเป็นห้องแถวที่พักอาศัยเสียส่วนมาก ซึ่งก็ไม่ได้มีความวังเวงน่ากลัวอะไรนัก ผิดกับบรรยากาศเมื่อราว 40-50 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นยุคที่ป่าช้าวัดดอนมีชื่อเสียงน่าสะพรึงกลัวมากในฐานะป่าช้าผีดุที่สุดของเมืองไทย จากสถิติที่เคยบันทึกกันเอาไว้ ป่าช้าแห่งนี้มีศพที่ฝังในลักษณะฮวงซุ้ยมากถึง 7,961 ศพ ศพที่บรรจุในอัฐิอีก 1,800 กว่าศพ และศพที่ไม่มีญาติบรรจุรวมกันไว้อีกมากกว่าหมื่นศพ
จุดที่ลือกันว่าเฮี้ยนสุดๆ ในสมัยโน้น คือตรงพื้นที่ประมาณ 30 ไร่ของมูลนิธิปอเต็กตึ๊ง ซึ่งใช้เป็นที่สำหรับฝังศพไร้ญาติ และร่างคนตายด้วยอุบัติเหตุจำนวนมาก ซึ่งถ้ามีจำนวนเกิน 4,000 ศพเมื่อไหร่ ก็จะมีการทำพิธีล้างป่าช้ากันสักครั้ง
ปัจจุบันพื้นที่บริเวณนี้ไม่มีการนำศพมาฝังใหม่แล้ว และพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกทดแทนด้วยตึกรามบ้านเรือนสมัยใหม่ เมื่อความเจริญเข้ามาเยือนตำนานผีดุที่เคยมีก็ค่อยๆ ลบเลือนหายไป สิ่งที่น่ากลัวกว่าผีคือพวกปล้นชิงวิ่งราวในซอยเปลี่ยว แต่ปัจจุบันนี้นับว่ามีสถิติน้อยลงไปมาก นับตั้งแต่มีการตัดถนนทางด้วนสายเหนือ-ใต้ผ่านบริเวณป่าช้า มีเส้นทางที่เชื่อมต่อกับถนนสาธร และถนนจันทน์ได้
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ตำนานผีดุป่าช้าวัดดอนแทบจะกลายเป็นตำนานที่ถูกลืมไปเลย คือโครงการสวนสวยในป่าช้าที่ริเริ่มโดยเขตสาธรในปี 2539 โดยการปรับปรุงพื้นที่ฮวงซุ้ยนับกว่า 100 ไร่ในกรรมสิทธิ์ของสมาคมแต้จิ๋ว มีการนำต้นไม่ไปปลูก และสร้างลานกิจกรรมนันทนาการมากมายจนปัจจุบันมีผู้เข้าไปออกกำลังกาย ทั้งผู้ใหญ่ เยาวชน และผู้สูงอายุ ท่ามกลางฮวงซุ้ยนับพันรายต่อวันในเวลาเย็นย่ำ โดยไม่รู้สุกหวาดผวาแม้สักนิดเดียว
ซึ่งถ้าใครเดินตรงเข้ามาเรื่อยๆ สักราว 20 นาทีจากต้นซอยเจริญกรุง 57 ก็จะพบกับถนนใต้ทางด่วนที่แวดล้อมด้วยฮวงซุ้ยร้างตามสองฟากข้าง เมื่อเดินข้ามถนนไปอีกแค่ไม่กี่อึดใจก็จะเห็นหน้าประตูทางเข้าสุสานแต้จิ๋ว ทางด้านขวามือไม่ไกลจากกันนักจะเห็นประตูทางเข้าวัดปรกยานนาวา ถ้าใครพอมีเวลาจะแวะเข้าไปเดินชมศิลปะพม่าในวัดแห่งนี้ก่อนก็ได้
แต่ถ้าเลือกเดินตรงเข้าไปในสุสานเลย ก็จะพบกับร้านเครื่องดื่มน่านั่ง และผู้คนมากมายที่วิ่งออกกำลังกายในป่าช้ากันอย่างคึกคัก คิดๆ ดูแล้วก็น่าทึ่งกับภาพที่เห็นไม่น้อย ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่คือป่าช้าผีดุอันลือลั่นที่สุดของไทย บรรยากาศเหมือนสวนลุมฯ มากๆ ไม่มีเค้าความน่ากลัวหลงเหลือไว้แม้แต่นิดเดียว และถ้าผีในป่าช้ามีจริง ก็คงจะรำคาญเสียงจ้อกแจ้กจอแจของเหล่าบรรดาคนรักสุขภาพตั้งแต่เช้ามืดจรดเย็นย่ำเลยทีเดียว
ณ จุดหมายปลายทางแห่งนี้ คุณจะได้นั่งพักผ่อน จิบเครื่องดื่มเย็นๆ แล้วเติมอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด ด้วยการเดินสำรวจไปรอบๆ ป่าช้าแสนสวยอันน่าทึ่ง จะอยู่รอดูตะวันคล้อยลับหมู่ตึกสูงหลังแนวป่าช้าก็ยังไหว รับรองว่าไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าจินตนาการในจิตใจของตนเอง ตอนขากลับให้เดินเลี้ยวออกทางขวาจากด้านหน้าประตู โดยไม่จำเป็นต้องเดินย้อนกลับทางปากซอยเจริญกรุง 57 อีก เดินไปเรื่อยๆ อีกแค่ราว 15 นาที ก็จะพบทางออกอีกด้านของถิ่นป่าช้าเก่าริมถนนสาทรใต้ ตรงบริเวณทางแยกขึ้นทางพิเศษศรีรัช