เดินขึ้นบันได 200 ขั้นที่ถ้ำบาตูแห่งมาเลเซีย
หากใครเป็นแฟนของแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาและสนใจในเรื่องราวของความเชื่อ ความศรัทธาแล้วล่ะก็
ถ้ำบาตู แห่งมาเลเซียนี้ดูจะถูกใจคนคอนี้ไม่มากก็น้อย ด้วยความสวยงามของธรรมชาติและความเชื่อทางศาสนาที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ซึ่งปัจจุบันนักท่องเที่ยวให้ความสนใจและหลั่งไหลเดินทางมาเที่ยวไม่ขาดสาย จนกลายเป็นอีก 1 สถานที่ขึ้นชื่อของมาเลเซียที่ได้รับการขนานนามว่า Unseen in Malaysia เลยทีเดียว
ถ้ำบาตู (Batu Caves) เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ที่เชื่อมหลายถ้ำเข้าด้วยกัน จนมีความยาวถึง 400 เมตร และในบางจุดผนังถ้ำยังมีความสูงถึง 100 เมตรอีกด้วย “บาตู” ตั้งอยู่ในเขตรัฐสลังงอร์ (Selangor) ห่างจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปทางตอนเหนือประมาณ 14 กิโลเมตร นอกจากสถานที่แห่งนี้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแล้ว ยังเป็นวัดและสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของฮินดูอีกด้วย ทำให้หลังคาหรือซุ้มประตูที่นี่รวมถึงภายในและภายนอกถ้ำเต็มไปด้วยรูปปั้นของเทพต่าง ๆ ตามความเชื่อของศาสนาฮินดู
จุดเด่นของถ้ำบาตู คือรูปปั้นพระขันธกุมารสีทองที่ถูกจัดว่าเป็นรูปปั้นบุคลที่สูงที่สุดในโลก มีความสูง 42.7 เมตร อยู่ด้านหน้าของบันไดทางขึ้นถ้ำ โดยรูปปั้นนี้มีมูลค่ากว่า 12,000,000 บาทและใช้ปูนคอนกรีตถึง 1,550 ตารางเมตร เหล็กเส้นหนัก 250 ตัน และใช้สีทองมากถึง 300 ลิตร ซึ่งเป็นสีที่นำเข้ามาจากประเทศไทย สำหรับพระขันธกุมารนั้น ชาวอินเดียเรียกว่า พระมุรุกัน (Lord Murugan) เป็นโอรสองค์ที่ 2 แห่งพระศิวะ และพระแม่อุมา ปารวตี เป็นน้องของพระพิฆเนศ เมื่อคราวถือกำเนิดมามี 6 พระพักตร์ แต่ละพระพักตร์เป็นตัวแทนถึง พละกำลัง ความเที่ยงธรรม ความฉลาด ความร่ำรวย ชื่อเสียง และพลังแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยพระองค์เป็นเทพนักรบ มีตำแหน่งเป็นแม่ทัพแห่งกองทัพสวรรค์ คอยปกป้องสวรรค์จากเหล่าอสูรร้าย ซึ่งตามความเชื่อของศาสนาฮินดู หากผู้ใดได้สักการะบูชาพระขันธกุมารจะได้รับพรที่เป็นตัวแทนพระพักตร์ทั้ง 6 ประการ และเนื่องจากไฮไลท์ของถ้ำแห่งนี้คือพระขันธกุมาร จึงไม่แปลกที่สถานที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยรูปปั้นเรื่องราวของพระองค์ในอิริยาบถต่าง ๆ
นอกจากนี้ ถ้ำบาตู ยังเป็นที่กล่าวขวัญถึงในเรื่องความท้าทายของการเดินขึ้นบันได ซึ่งมีทั้งหมด 272 ขั้น ที่ทำเอาผู้มาเยือนถึงกับเหนื่อยหอบ พร้อมกับมีลิงอยู่ตามทางอย่างอิสระ ซึ่งอาจทำให้เป็นอุปสรรคสำหรับคนที่ไม่ชอบลิง แต่เมื่อขึ้นมาถึงสุดบันไดกว่า 200 ขั้น จะเห็นซุ้มประตูด้านบน ซึ่งเป็นรูปปั้นแสดงเรื่องราวของพระขันธกุมาร รวมถึงได้พบกับทัศนียภาพที่มองเห็นแล้วเรียกว่าคุ้มจนหายเหนื่อย เพราะนอกจากจะเห็นความสวยงามของวิวที่อยู่เบื้องล่าง ยังเห็นเส้นขอบฟ้าที่ตัดกับทิวเขาและตัวเมืองได้อย่างชัดเจน สำหรับด้านบนนั้นจะเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่ตรงกลางจะเป็นช่องที่สามารถมองเห็นท้องฟ้าได้ และภายในประดับประดาไปด้วยรูปปั้นเทพเจ้าต่าง ๆ ตามซอกหิน และบริเวณด้านในสุดของถ้ำจะมีสถานที่สำหรับสักการบูชา และขอพรเทพเจ้าอยู่ ซึ่งนอกเหนือจากตัวถ้ำหลักแล้วยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่ นั่นคือถ้ำรามายณะ หรือถ้ำรามเกียรติ์ที่มีรูปปั้นหนุมานสูง 15 เมตรอยู่ด้านหน้า และภายในนั้นมีภาพวาดของเทพพระเจ้าในศาสนาฮินดูให้เที่ยวชมอีกด้วย
บริเวณโดยรอบของถ้ำบาตู มีร้านรวงต่าง ๆ ให้บริการนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ทั้งร้านขายดอกไม้บูชา ร้านเพ้นท์เฮนน่า ร้านขายถั่วประเภทต่าง ๆ และร้านขายอาหาร หรือขนมในแบบของชาวฮินดู ซึ่งถ้าหากเดินทางมาในช่วงเทศกาลไทปูซัม เทศกาลฉลองประจำปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวฮินดู เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของพระขันธกุมาร และขอพรให้พระขันธกุมาร ช่วยดลบันดาลให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นนั้น จะได้พบกับผู้แสวงบุญชาวฮินดูจำนวนหนึ่งใช้เหล็กเสียบตามร่างกาย และผู้แสวงบุญบางส่วนจะแบกแท่นบูชาที่เรียกว่า “กาวาดี” ที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม หรือแบกคนโทบรรจุนมเดินขึ้นไปยังบันไดกว่า 200 ขั้น เพื่อไปขอพรจากพระขันธกุมาร ดูละม้ายคล้ายกับเทศกาลกินเจของประเทศไทย ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เข้ามาสัมผัสบรรยากาศการเฉลิมฉลองนี้เป็นจำนวนมาก
การเดินทางมายังถ้ำแห่งนี้ หากมาจากกัวลาลัมเปอร์ สามารถมาได้หลายวิธี วิธีแรกเรียกรถ Taxi ราคาประมาณ 15 ริงกิต(RM) วิธีที่สองนั่งรถไฟ KTM Komuter สายสีแดงจากสถานี KL Sentral ไปลงสุดสายที่สถานี Batu Caves ค่าโดยสาร 1 ริงกิต ต่อคน หรือประมาณ 10 บาท ใช้เวลาเพียง 45 นาที แต่เที่ยวกลับจะเสียค่าโดยสาร 2 ริงกิตต่อคน และการเดินทางโดยรถบัส ซึ่งสามารถขึ้นรถได้ที่หน้าธนาคารกรุงเทพในกัวลาลัมเปอร์ ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง ช่วงเวลาในการท่องเที่ยว ถ้ำบาตูจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมทุกวัน ระหว่างเวลา 06.00 – 21.00 น.
เมื่อได้รู้กิตติศัพท์ความท้าทายแล้ว เชื่อว่าน่าจะมีหลายคนที่อยากลองไปเที่ยวมาเลเซียดูสักครั้ง ซึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวไทยที่ต้องการจะเดินทางไปประเทศมาเลเซีย เดี๋ยวนี้สามารถเดินทางเข้าออกได้อย่างสะดวกสบาย การเข้าประเทศมาเลเซียก็อยู่ได้นาน 30 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า ที่สำคัญ ชาวมาเลย์สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษกันอย่างแพร่หลาย จึงไม่ต้องกลัวว่าจะสื่อสารไม่รู้เรื่อง ดังนั้นหากใครอยากจะลองไปเที่ยวมาเลเซียเพื่อสัมผัสแหล่งท่องเที่ยวแบบ Unseen หรือจะไปท่องเที่ยวในย่านการค้าต่าง ๆ ก็ลองวางแผนสำหรับวันหยุดยาวที่จะถึง ที่สำคัญ เมื่อไปเยือนแล้วอาจจะถูกตาถูกใจกับสินค้าและอาหารจนอยากจะกลับไปเที่ยวซ้ำ ๆ อีกก็เป็นได้