“ป้อมมะลิ” ใส่ใจเรื่องคุณภาพส่งเสริมรายได้เกษตรกรไทย
อาชีพเกษตรกรถือว่าเป็นอาชีพหลักของคนไทยมานมนาน จนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นอาชีพที่มีจำนวนบุคคลการมากที่สุด แต่สิ่งที่สวนทางกลับอาชีพก็คือเรื่องของรายได้ โดยจะเห็นได้จากตัวเลขหนี้ของเกษตรกรที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จนต้องมีมาตรการออกมาช่วยเหลือจากภาครัฐ
อย่างไรก็ดี ด้วยกำลังของภาครัฐเพียงฝ่ายเดียวคงจะเพียงพอ “บริษัท ทิพย์อุบลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด” เป็นหนึ่งบริษัทที่มีแนวทาง และวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการเข้าไปดูแล และให้ความช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้สูงขึ้น ผ่านการนำผลิตผลเหล่านั้นมาแปรรูปเพิ่มมูลค่า
–ส่งเสริมรายได้เกษตรกร
จักรกฤษณ์ จิวราช ผู้จัดการโรงงาน บริษัท ทิพย์อุบลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บอกถึงที่มาที่ไปของการเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกร ว่าเริ่มต้นมาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว จากการที่คุณแม่เห็นว่าเกษตรกรของไทยมีหนี้สินเป็นจำนวนมาก จึงมีความประสงค์ที่จะเข้าไปช่วยส่งเสริมให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยการนำแนวทางของการทำเกษตรอินทรีย์เข้ามาปรับใช้ เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ และดำเนินการรับซื้อในราคาที่สูงกว่าในตลาด
ทั้งนี้ ด้วยแนวทางดังกล่าวนั้น ยังไม่สามารถสร้างผลกำไรได้ เนื่องจากราคาข้าวค่อนข้างที่จะผันผวน อีกทั้งการรับซื้อในราคาที่สูงกว่าตลาด ทำให้ไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ดังนั้น จึงมองหาแนวทางอื่นเพิ่มเติม และได้มาตกผลึกทางความคิดด้วยการสร้างโรงงานแปรรูป ทำให้ข้าวธรรมดากลายเป็นข้าวถ้วยบรรจุกระป๋องพร้อมทาน ซึ่งจะช่วยให้สามารถจำหน่ายได้ในราคาที่สูงขึ้นเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาภายใต้แบรนด์ “ป้อมมะลิ” (POMMALI) โดยผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ประกอบด้วย ข้าวขาวหอมมะลิอินทรีย์พร้อมทาน ,ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์พร้อมทาน และข้าวไรซ์เบอร์รีอินทรีย์พร้อมทาน เป็นต้น
สำหรับช่องทางการจำหน่ายข้าวถ้วยบรรจุกระป๋องฯ นั้น ในประเทศจะมีจำหน่ายที่ ท็อปมาร์เก็ต แต่ตลาดหลักของแบรนด์ป้อมมะลิที่แท้จริงคือตลาดต่างประเทศ หรือตลาดส่งออก โดยปัจจุบันมีวางจำหน่ายที่สหรัฐอเมริกา ,สิงคโปร์ ,ฮ่องกง และอินโดนีเซีย
“ล่าสุดบริษัทได้ร่วมมือกับบริษัทมหาชนของประเทศอินโดนีเซีย เพื่อให้เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในอินโดนีเซีย ทำให้บริษัทจะมีเงินมาสนับสนุนเกษตรกรไทยมากยิ่งขึ้น”
–เพิ่มช่องทางจำหน่ายขยายฐานลูกค้า
จักรกฤษณ์ บอกต่อไปว่า กลยุทธ์ในการเพิ่มช่องทางการจำหน่าย และขยายฐานลูกค้าเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทนั้น ในประเทศมองว่าจะเพิ่มจุดจำหน่ายไปที่เดอะมอลล์ และกรูเมต์ มาร์เกต์ (Gourmet Market) นอกจากนี้ในระยะถัดไปบริษัทจะดำเนินการเข้าไปส่งเสริมให้เกษตรปลูกพืชสมุนไพรที่สามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารได้ เช่น พริก ใบกระเพรา ขิง ข่า โหระพา ฯลฯ เพื่อนำมาต่อยอดธุรกิจของบริษัทในการทำอาหารสำเร็จรูปพร้อมทานจำหน่าย
อย่างไรก็ดี อาหารสำเร็จรูปพร้อมทานของบริษัทได้มีการนำเสนอเพื่อทดลองตลาดแล้วที่ประเทศเยอรมัน และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค โดยสาเหตุที่บริษัทต้องเจาะตลาดต่างประเทศเป็นหลักนั้น เนื่องจากบริษัทต้องการให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดีขึ้น ซึ่งบริษัทจะรับซื้อผลผลิตของเกษตรกรในราคาที่สูงกว่าตลาด ส่งผลทำให้มีต้นทุนที่สูง เพราะฉะนั้นจึงต้องมองที่ตลาดต่างประเทศเป็นลำดับแรก เพราะผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับอาหารประเภทเกษตรอินทรีย์ และยินยอมที่จะจับจ่ายใช้สอย เพื่อดูแลเรื่องของสุขภาพ
“เกษตรกรสามารถปลูกพืชสมุนไพรตามที่บริษัทมีแนวทางส่งเสริมได้ไม่ยากในช่วงที่เก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวแล้ว โดยใช้พื้นที่ซึ่งเป็นเกษตรอินทรีย์อยู่แล้วมากว่า 20 ปีในการปลูก เพื่อเป็นรายได้เสริม”
–คุณภาพและการคัดสรรวัตถุดิบ
จักรกฤษณ์ บอกอีกว่า จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “ป้อมมะลิ” อยู่ที่เรื่องของคุณภาพในการผลิต และการคัดสรรวัตถุดิบชั้นดีมาแปรรูปให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประทานข้าวที่มีคุณภาพ โดยไม่มีการปรุงแต่งด้วยสารเคมีให้มีรสชาติที่อร่อย รวมถึงการเป็นเกษตรอินทรีย์ที่ได้มาตรฐานสากล ช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยจากโรคมะเร็ง ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น จากการรับประทานอาหารที่มีสารเคมีเข้าไปสะสมในร่างกาย
“คอนเซ็ปต์ หรือแนวคิดหลักของแบรนด์ ป้อมมะลิ คือ อาหารแปรรูปที่สด สะอาด ปลอดภัย ปราศจากสารเคมี”
ด้านหลักคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น บริษัทยึดถือเรื่องของคุณภาพเป็นสำคัญ โดยจะเห็นได้จากการที่บริษัทไปออกบูธงานแสดงสินค้าที่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นงานระดับโลกก็จะได้รับการยอมรับหมดจากผู้บริโภคในเรื่องของคุณภาพ โดยถือเป็นปัจจัยสำคัญที่คู่ค้าจากต่างประเทศจะมองเป็นลำดับแรก ซึ่งสำหรับผู้บริโภคในต่างประเทศแล้วนั้น อาหารที่รับประทานจะต้องคำนึงเรื่องของสุขภาพเป็นหลัก ส่วนปัจจัยเรื่องเงินจะมาเป็นเรื่องรอง
“คำพูดที่เห็นภาพได้ง่ายจากผู้บริโภคต่างประเทศก็คือ หากรับประทานอาหารโดยไม่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ เงินที่หามาได้ทั้งหมดอาจจะหมดไปได้ภายใน 2 ปีในการรักษาอาการเจ็บป่วย หรืออาจจะไม่เหลืออะไรเลยในท้ายที่สุด ดังนั้น ผู้บริโภคจึงให้ความสำคัญกับอาหารเพื่อสุขภาพมาก และยินดีที่จะจ่ายเงินให้ถ้ามีคุณภาพอย่างแท้จริง”
นอกจากเรื่องของคุณภาพแล้ว บริษัทยังสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ด้วยราคาของผลิตภัณฑ์ที่ไม่สูงจนเกินไป ส่งผลให้ผู้บริโภคเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้โดยง่าย ด้วยแนวคิดดังกล่าวนี้ ทำให้ช่องว่างทางการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทยังคงเปิดกว้างให้เข้าไปทำตลาดได้อีกมาก.