“บรันช์ไทม์”อาหารเพื่อสุขภาพกราโนล่าของไทย
จากความชอบและโอกาส คือ ประตูเปิดสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ ของ ” ชนิสรา และวุฒิกานต์ วงศ์ดีประสิทธิ์” ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการร่วม บริษัท บรันช์ไทม์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารเพื่อสุขภาพสูตรกราโนล่า แบรนด์ “Diamond Grains” (ไดมอนท์ เกรนส์) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนอยากผอม และคนรักสุขภาพ
เริ่มต้นธุรกิจ
“ชนิสรา” เล่าว่า เธอเรียนจบนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนวุฒิกานต์ เรียนด้านการค้าระหว่างประเทศ ที่ University of International Business and Economics ปักกิ่ง ประเทศจีน ทั้งคู่มีความอยากที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจ จึงมองหาสิ่งที่ชอบ และพบว่า ความชอบของทั้งคู่คือ อาหาร แต่ด้วยประสบการณ์ที่น้อย ความรู้ก็ยังไม่มาก จึงเริ่มศึกษาหาความรู้ อ่านรายงานของธนาคารต่างๆ ศึกษาดูแนวโน้มอุตสาหกรรมสินค้าต่างๆ จนมาโฟกัสที่ตลาดสุขภาพ และสนใจเกี่ยวกับธัญพืช เพราะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่รสชาติธัญพืช ก็ไม่ค่อยน่าอภิรมย์นัก
อย่างไรก็ดี ความมุ่งมั่นของ ชนิสรา ทำให้เธอเริ่มลุยทำขนมหรือเบเกอรี่ธัญพืช โดยการพัฒนาสูตรเบเกอรี่ธัญพืช ที่ทำจากข้าวโอ๊ตต่าง ๆ โดยที่ไม่ผสมแป้งเลย แต่รสชาติดี จนสำเร็จมาเป็นคุกกี้ธัญพืช แล้วเริ่มนำไปฝากขายตามร้านค้าและปั๊มน้ำมัน แต่ไม่ประสบความความสำเร็จ เธอต่อสู้อยู่ 2 ปี โดยไม่ยอมแพ้ และยังปรับสูตร พัฒนาและเรียนรู้ไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็ได้พัฒนาสูตรกราโนล่า ทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคสายเฮลตี้ โดยเลือกใช้วัตถุดิบข้าวโอ๊ตคุณภาพสูงจากออสเตรเลีย และส่วนผสมอื่นๆ จากผลิตผลในประเทศไทย เช่น งาขี้ม่อนจากโครงการหลวง เม็ดมะม่วงหิมพานต์จากภาคใต้ และสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “Diamond Grains”
“ชนิสรา” และ “วุฒิกานต์” ไม่มีใครจบสายอาหาร มีเพียงชนิสราที่เรียนรู้มาบ้างจากครอบครัวที่ทำธุรกิจอาหาร แต่ความไม่รู้นั้น ทำให้พวกเธอเจอปัญหาโดยไม่ระแวง เมื่อสิ่งที่พัฒนาออกมาแล้วไม่ใช่ ก็ต้องไปหาคำตอบให้เจอว่า ทำไมไม่ใช่ และการค้นหาคำตอบ ก็ไปหาจากหลายแหล่ง
“ศาสตร์การทำอาหารไม่มีผิดหรือถูก มันอยู่ที่เราซื่อสัตย์กับรสชาติที่เราสัมผัสมากแค่ไหน เราจะไม่หยุดแก้ หรือปรับ จนกว่าเราได้รสชาติที่อร่อย”
“ชนิสรา” บอกว่า ไม่ใช่ว่าโปรดักส์เราไม่ดี
แต่ทำไมทดลองมาสองปีแล้วตลาดยังไม่เปิดรับ เพราะฉะนั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่อาหาร
การการศึกษาค้นคว้า ทำให้พบว่า สิ่งที่พลาดไปก็คือ
การไม่ได้มองความพร้อมในการจ่ายของผู้บริโภค ถ้าต้องการสร้างให้ “Diamond Grains” เป็นอาหารมื้อเช้า ก็ต้องมานั่งคุยกันว่า ลูกค้าต้องการอะไร
ต้องการจ่ายเท่าไร อะไรคือจุดบอดของเขาในมื้อเช้า และสิ่งที่พบคือ
ทุกคนต้องการกินมื้อเช้า แต่ต้องสะดวก อร่อย
และเขาพร้อมจ่ายในราคามื้อเช้าที่เท่าไร
เมื่อได้คำตอบ และปรับทุกอย่างให้สนองความต้องการเหล่านั้นเรียบร้อย
การวางจำหน่าย ซึ่งเริ่มต้นยังไม่มีร้านไหนเปิดรับ เธอจึงเลือกช่องทางออนไลน์
ทำตลาดเอง จากการค่อยๆเรียนรู้อีกเช่นกัน จนในที่สุด ยอดขายขยับขึ้น
จากยอดขายเริ่มต้นเพียง 5-10 ถ้วย ราคาถ้วยละ 28 บาท หนึ่งปีหลังจากนั้น ยอดขายกระโดดพุ่งขึ้นมาเป็น 200 ล้านบาท
ด้วยการตลาดแบบปากต่อปาก และผู้บริโภคมองเห็นคุณภาพจริงของสินค้า
ขยายฐานลูกค้า
ชนิสรา บอกอีกว่า ปีนี้บริษัทจะมุ่งเน้นกลยุทธ์การทำตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้า และเพิ่มรายได้ด้วยการดำเนินการพัฒนาและเปิดตลาดใหม่ โดยจะมีการวิเคราะห์ และศึกษาข้อมูลว่ามีตลาดใดที่น่าสนใจ และน่าจะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดีเช่น ผลิตภัณฑ์อาหารเช้า ผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยการขับถ่าย ผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับผู้ที่ต้องการโปรตีน หรือผู้ต้องการเรื่องของความสวยความงาม
“ในความคิดเห็นส่วนตัวมีความเชื่ออยู่เสมอว่า โอกาสในการขยายตลาดมีอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น บริษัทจะทยอยนำเสนอ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องตามความต้องการของลูกค้าที่บริษัทได้ทำหารค้นคว้า และวิจัยข้อมูลมา โดยเน้นเรื่องของคุณภาพที่ผู้บริโภคให้ความเชื่อถือ และสามารถบอกต่อได้”
บริษัทมีแผนที่จะนำเสนอผิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดไม่ต่ำกว่า 2-3 ผลิตภัณฑ์ เช่น สครัปข้าวโอ๊ต (Oat Scrub) ซึ่งจะมีสรรพคุณช่วยทำให้ผิวนุ่ม โดยสามารถใช้ได้กับทั้งผิวหน้า และผิวกาย ซึ่งคาดว่าจะออกวางจำหน่ายได้ในช่วงประมาณกลางปีนี้ หลังจากนั้นก็จะมีผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อเป็นกาต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย และเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะขยายตลาดต่างประเทศให้เพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าภายในปีนี้จะสามรถนำผลิตภัณฑ์เข้าไปวางจำหน่ายได้ในตะวันออกกลาง และสหรัฐอเมริกา ซึ่งล่าสุดกำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาทางธุรกิจกับตัวแทนจำหน่าย จากเดิมที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีวางจำหน่ายแล้วที่ประเทศฮ่องกง ,ไต้หวัน ,สิงคโปร์ ,ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เป็นต้น
“ที่ผ่านมาบริษัทลงทุนไปแล้วกว่า 100 ล้านบาท โดยมีการลงทุนโรงงานผลิต ซึ่งสามารถควบคุมคุณภาพการผลิตได้ด้วยตัวเอง โดยคืนทุนทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปีที่ 3 ของการดำเนินธุรกิจ และตั้งเป้าว่า บริษัทจะสามารถสร้างรายได้เติบโตได้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 20 % โดยปีที่แล้วบริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 230 ล้านบาท”
วุฒิกานต์ บอกเสริมว่า ปัจจุบันบริษัทมีช่องทางการจัดจำหน่ายครอบคลุมทั้งร้านสะดวกซื้อ เช่น เซเว่นอีเลฟเว่น แฟมิลี่มาร์ท ,ซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น ท็อปมาร์เก็ต (TOPS) ,วิลล่ามาร์เก็ต (Villa Market) ,โมเดิร์นเทรด รวมถึงช่องทางออนไลน์ ที่บริษัทเริ่มทำตลาดมาตั้งแต่ต้น ไมว่าจะเป็นเพจเฟซบุ๊ก ,เว็บไซด์ (www.diamondgrains.com) ,อินสตราแกรม และช็อปปี้ (Shoppe) เป็นต้น
กราโนล่าคลีน เจ้าแรกของไทย
สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์แบรนด์ Diamond Grains อยู่ที่การเป็นผลิตภัณฑ์ กราโนล่าคลีน เจ้าแรกของประเทศไทยในรูปแบบของซีเรียลที่ช่วยปรับสมดุลร่างกายและการขับถ่ายได้เป็นอย่างดีด้วยไฟเบอร์จากธัญพืชแบบไร้แป้งสาลี ไม่มีแป้งขัดขาว และสารกันเสียทุกชนิด โดยเลือกใช้วัตถุดิบข้าวโอ๊ตคุณภาพสูงจากออสเตรเลีย และส่วนผสมอื่นๆ จากผลิตผลในประเทศไทย เช่น งาขี้ม่อนจากโครงการหลวง ,เม็ดมะม่วงหิมพานต์จากภาคใต้ และผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐานการรับรองการผลิตอาหารจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของแบรนด์มี 2 แบบ ได้แก่ Diamondgrains Granola ใส่งาขี้ม่อน สามารถรับประทานเปล่าๆได้ทันที ใช้ข้าวโอ๊ตแบบเต็มใบ ทำเป็นขนมหรืออาหารเช้าได้โดยไม่ต้องแช่ หรือจะรับประทานคู่กับนมไขมันต่ำ ผลไม้หรือโยเกิร์ตก็ได้ตามความชอบ มีทั้งหมด 9 รสชาติ และ Diamondgrains Overnight ซึ่งใส่เมล็ดเชีย (Chia Seed) และข้าวโอ๊ต สำหรับแช่นมให้พองข้ามคืน มีฝาปิดสำหรับแช่ในตู้เย็นกันกลิ่นเข้า มีทั้งหมด 4 รสชาติ